ในวัยเด็ก คนเราใฝ่ฝันอยากจะเป็นโน่นเป็นนี่แตกต่างกันไป บางคนอยากเป็นตำรวจ ทหาร ช่วยปกป้องประชาชน และประเทศชาติ บางคนอยากเป็นครูอาจารย์ถ่ายทอดความรู้ให้นักเรียน บางคนอยากเป็นแพทย์ พยาบาล เพื่อดูแลสุขภาพประชาชน แต่คงมีน้อยคนที่อยากเป็นชาวนา และคงจะมีบ้างที่อยากเป็น"นักดาราศาสตร์"
สำหรับผู้ที่สนใจใน"ดาราศาสตร์"นั้น ส่วนใหญ่แล้วมักจะรู้จักมักจี่กับ"คนที่ชอบดูดาว"(ซึ่งบุคคลเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นนักดาราศาสตร์ก็ได้) ซึ่งเปรียบได้กับอัจฉริยะทางดนตรีที่มักมีพ่อแม่เป็นนักดนตรีด้วย ความสนใจในดาราศาสตร์นั้นอาจเกิดจากการอยากรู้อยากเห็นอันเป็นลักษณะโดยทั่วไปของเด็กๆอยู่แล้ว โดยเรามักจะมีคำถามสำคัญเกิดขึ้นในหัวสมองก็คือ มีมนุษย์โลกอยู่ในจักรวาลเท่านั้นจริงๆหรือ?
วันเวลาผ่านไป เด็กๆเหล่านั้นได้หมั่นศึกษาโดยเริ่มจากส่วนที่เล็กที่สุด คือ โลกมนุษย์ของเรา ไปสู่ส่วนที่กว้างใหญ่ขึ้น อันได้แก่ "ระบบสุริยจักรวาล" และใหญ่ขึ้นอีกเป็น"กาแล็กซี่" และ"เอกภพ" ตามลำดับ เมื่อศึกษามาจนถึงส่วนที่กว้างใหญ่ที่สุดอันได้แก่ "เอกภพ" แล้ว หลายคนจะเริ่มเข้าใจ และเข้าถึงบางสิ่งบางอย่าง...
ผมขอพลิกไปยังอีกมุมหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่แตกต่างออกไป เป็นเหตุการณ์ในงานราตรีสโมสรที่รวมเอาบรรดาอัจฉริยบุคคลทั้งแพทย์ และนักวิทยาศาสตร์มารวมไว้ในสถานที่แห่งหนึ่ง และคุณก็คือแขกรับเชิญคนสำคัญคนหนึ่งในงานนี้ เพียงแต่คุณคือ บุคคลธรรมดาที่แต่งกายได้อย่างเหมาะสมตามประเพณีนิยม คุณค่อยๆเดินฝ่าเข้าไปในกลุ่มอัจฉริยบุคคลเหล่านั้น คุณคงจะได้ยินสรรพสำเนียงและคำพูดโอ้อวดสรรพคุณของตนเองพรั่งพรูเต็มสองรูหูของคุณจนมึนงงไปหมด ใช่แล้วครับ! ท่านอัจฉริยบุคคลเหล่านี้ได้ผ่านการศึกษาค้นคว้าวิจัยมาอย่างหนัก ใช้เวลาหลายสิบปี กว่าจะได้บทสรุปอันเป็นงานวิจัยอันยอดเยี่ยมซึ่งสามารถ"เปลี่ยนโลก"ได้ ฟังดูแล้วน่าตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง ที่มนุษย์เพียงไม่กี่คนจะสามารถทำให้โลกมนุษย์ของเราเจริญก้าวหน้าได้ถึงเพียงนี้ และผมก็พอจะบอกได้ว่า ท่านอัจฉริยบุคคลเหล่านั้น คงรู้สึกปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่ง จนหัวใจพองโตคับหน้าอก และคงรู้สึกว่าตนเองเป็น"บุคคลพิเศษ"ซึ่งมีสถานะอยู่เหนือผู้อื่น ประดุจว่ามีร่างกายใหญ่โตจนคับโลก
คุณคงจะเห็นแล้วว่า ณ จุดนี้ได้เกิด"ชนชั้น"ทางสังคมขึ้นมา เนื่องด้วยมีคนกลุ่มหนึ่งที่คิดว่า ตัวเองยิ่งใหญ่มาก(แน่นอน...เขามีความสุขมากที่ได้คิดอย่างนั้น) แต่ก่อนอื่น ขออนุญาตพาท่านมองย้อนกลับไปในประเด็นที่ว่า ถ้าคุณมีความสนิทสนมกับ"ดาราศาสตร์"อย่างลึกซึ้งแล้ว คุณน่าจะมองเห็นอะไรบางอย่างที่หลายคนไม่เคยตระหนักเลย ผมมั่นใจว่าคนที่สนใจดาราศาสตร์ ย่อมมองเห็นความเป็น"เศษธุลี"ของมนุษย์โลก มองเห็นภาพ"เอกภพ"อันกว้างใหญ่ซึ่งประกอบไปด้วย"กาแล็กซี่"จำนวนมากมายมหาศาล ซึ่งในแต่ละ"กาแล็กซี่"ก็ประกอบไปด้วย"ระบบสุริยจักรวาล"เหลือคณานับ ยังไม่หมดครับ "ระบบสุริยจักรวาล"ของเราก็ประกอบไปด้วยดาวเคราะห์ทั้งหมด ๘ ดวง(ในปัจจุบันนี้ เราไม่นับดาวพลูโตเป็นดาวเคราะห์ดวงที่๙ในระบบสุริยจักรวาลของเราแล้ว) ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ "โลกมนุษย์"ของเรานั่นเอง
เห็นไหมครับว่า ถึงคุณจะครองโลกได้ หรือได้เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกก็ตาม คงจะเปรียบเทียบได้ว่า คุณเป็นเจ้าของเม็ดทรายเพียงแค่เม็ดเดียวในหาดทรายอันกว้างใหญ่หลายพันแห่ง คราวนี้คงจะเห็นแล้วนะครับว่า ผู้ที่เป็นเจ้าของเม็ดทรายเพียงแค่เม็ดเดียวนั้นไม่ได้มีความแตกต่างจากผู้ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของเม็ดทรายเลยแม้แต่เม็ดเดียว จิตใจของเราเองต่างหากที่หลงปรุงแต่งสถานะตลอดจน"ชนชั้น"ขึ้นมา แล้วทำให้เกิดความวุ่นวายในสังคมขึ้น วุ่นวายอย่างไรหรือครับ? กล่าวคือ กลุ่ม"ชนชั้นสูง"ได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่าคนธรรมดาสามัญอย่างชัดเจน และนำไปสู่"ความอยุติธรรม"ในสังคม นอกจากนั้น ยังมีประเด็นสำคัญในแง่การบริหารจัดการ กล่าวคือ กลุ่มชนชั้นสูงเหล่านั้นย่อมเกิด"อหังการ"ว่า ความคิดของตนนั้นถูกต้องเหมาะสม และไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้ร่วมงาน ซึ่งทำให้เกิดความล้มเหลวในการทำงานเป็นทีม ถ้ามองรวมทั้ง ๒ ประเด็น คือ ความอยุติธรรม และความอหังการแล้ว สิ่งที่จะตามมาคือ ความแตกแยกของคนในสังคม ซึ่งพอจะตอบคำถามที่ว่า ทำไมอัจฉริยบุคคลเต็มบ้านเต็มเมือง แต่โลกกลับดำเนินไปในทางที่แย่ลงๆโดยมองจากภาพรวม ผมไม่เถียงว่า เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้า แต่เราคงต้องมองในส่วนของสังคม สิ่งแวดล้อม การเมือง จริยธรรม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจด้วย ซึ่งถ้าโลกเรามีทีมที่ประกอบไปด้วยบุคคลผู้ไม่มีความอหังการมาช่วยวางแผนพัฒนา และร่วมมือกันแก้ไขปัญหาต่างๆอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว หลายสิ่งหลายอย่างคงดีขึ้นอย่างแน่นอน
ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น คงพอจะทำให้คุณมองเห็นได้ว่า"อหังการ"เกี่ยวข้องกับ"ดาราศาสตร์"ได้อย่างไร หวังว่า เมื่อคุณได้อ่านข้อเขียนนี้จบลงแล้ว คงจะมีผู้ที่สนใจอยากจะดูดาวกันมากขึ้นนะครับ ก่อนจากกัน ขอฝากคำขวัญสั้นๆไว้ว่า"ดูดาววันละนิด พลิกความคิด ปิดประตูอหังการ"
วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2555
วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555
ห้องหมายเลข ๔
คำแนะนำก่อนการอ่าน
๑.ถ้าผู้อ่านมีอายุน้อยกว่า ๑๕ ปี ผู้ปกครองควรพิจารณาให้คำแนะนำในการอ่าน
๒.ข้อความที่พิมพ์ด้วยตัวอักษรตัวหนาและถูกขีดฆ่า คือ สิ่งที่ตัวละครคิดและอยากพูด แต่ไม่กล้าพูดออกมา
๓.กรุณาอย่าหลอกตัวเอง และควรทำใจให้ยอมรับความเป็นจริงในสังคมกันบ้าง แต่ถ้าคุณไม่สามารถยอมรับได้แล้วละก็... ให้อ่านเฉพาะข้อความตรงที่ไม่ถูกขีดฆ่าก็ได้
๔.เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถูกแต่งขึ้น ตัวละครทั้งหมดในเรื่องเป็นตัวละครที่ถูกสมมุติขึ้นมาทั้งสิ้น
วันที่ ๑๕ พ.ค. ๒๕๔๘
เวลา ๑๔.๓๘ น.
ณ บริเวณหน้าห้องสอบสัมภาษณ์หมายเลข ๔ ของคณะแพทยศาสตร์แห่งหนึ่ง "สมชาย"คือผู้โชคดีคนหนึ่งที่ใช้ความมานะบากบั่นฝ่าฟันการสอบอันแสนหฤโหด จนสอบได้คณะแพทยศาสตร์แห่งนี้ ซึ่งถือว่าเป็นสถาบันที่มีคนอยากเรียนมากเป็นอันดับที่ ๑ ของประเทศไทย สีหน้าและท่าทางของเขาแสดงออกถึงความมั่นใจที่มีอยู่เต็มเปี่ยมเกิน ๑๐๐ เปอร์เซนต์
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งกวักมือเรียกให้เขาเข้าไปในห้องหมายเลข ๔ เขาเดินเข้าไปในห้องด้วยอาการอันสงบ เอาละครับ...คุณไม่ต้องรู้ว่า"ผม"คือใคร... ขอแต่เพียงให้รับทราบว่า "ผม"รู้และเห็นในทุกสิ่งที่มนุษย์โลกคิด พูด และทำ ไม่มีใครหลอกผมได้ เชิญคุณอ่านต่อเอาเองเถอะครับว่า เขาคุยอะไรกัน เพื่อจะได้เอาเนื้อหาที่ได้รับไปแนะนำน้องๆ หรือลูกๆหลานๆที่กำลังจะสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ให้ได้ทราบแนวทางในการสอบสัมภาษณ์ ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์กับเขาต่อไป
สมชาย- สวัสดีครับ
อาจารย์๑- เชิญนั่งครับ ตามสบายเลยนะ
สมชาย- ขอบคุณครับ
อาจารย์๒- หมอเรียนจบจากไหนครับ?
สมชาย- โรงเรียน***ครับ
อาจารย์๓- เกรดเฉลี่ยตลอดชั้นม.ปลายได้เท่าไหร่คะ?
สมชาย-เป็นแบบนี้กันทุกทีเลยนะครับ เอะอะก็ถามแต่เรื่องเกรดก่อน ผมสงสัยจริงๆเลยว่า ไอ้ตัวเลขพวกนี้มันบอกคุณภาพหรือคุณค่าของคนแต่ละคนได้มากน้อยแค่ไหนกัน หรือว่าคนในสังคมเขาวัดคุณค่าความเป็นคนด้วยเกรดเฉลี่ย
สมชาย- ก็ไม่เท่าไหร่หรอกครับ แค่๓.๙๓
อาจารย์๒- ผมว่า ก็เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าโรงเรียน***มีชื่อเสียงมาก และมีแต่นักเรียนเก่งๆทั้งนั้น แล้วโรงเรียนของหมอสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ได้ทั้งหมดกี่คนครับ?
สมชาย-ผมคิดว่า โรงเรียนที่มีชื่อเสียงนั้นไม่สำคัญมากมายนักหรอกครับ ขึ้นอยู่กับว่า เด็กแต่ละคนมีพื้นฐานทางวิชาการที่ดีเพียงใด และตั้งใจเรียนแค่ไหน และที่ผมรู้สึกรำคาญใจมาตลอดก็คือ ทำไมพ่อแม่ของเด็กถึงต้องมีอาการ"บ้าสถาบัน"กันเกินกว่าเหตุ ทุ่มเงินให้ลูกเรียนพิเศษ บำรุงบำเรอตามใจลูกทุกอย่าง เพื่อให้ลูกสอบเข้าโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงให้ได้ เสร็จแล้วก็เอาไปคุยโม้กับเพื่อนบ้าน ญาติๆ และเพื่อนๆที่ทำงานเดียวกัน จนพวกเขาพากันเหม็นน้ำลายกันไปหมดแล้ว ขณะเดียวกันก็ยกย่องคุณลูกทั้งหลายให้เป็น"ลูกบังเกิดเกล้า" หรือจนถึงขั้นเป็น"เทวดาประจำครอบครัว" ซึ่งนำไปสู่การเอาอกเอาใจและตามใจลูกทุกอย่างจน"เสียเด็ก"
สมชาย- สอบได้ ๑๓๙ คนครับ
อาจารย์๑- โอ้โห! ได้ข่าวว่ามากเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ
สมชาย- ใช่ครับ
อาจารย์๔- รู้สึกอย่างไรบ้างคะที่สอบได้ที่นี่?
สมชาย-คำถามแบบนี้น่าเบื่อมากเลยครับ เหมือนกับที่นักข่าวถามนักแสดงที่ได้รับรางวัลใหญ่จากการแสดงว่ารู้สึกอย่างไร ซึ่งมันก็แน่อยู่แล้วครับว่า เขาต้องดีใจมาก เขาคงไม่เสียใจ หรือหวั่นวิตกอะไรหรอกครับ
สมชาย- ดีใจมากเลยครับ
อาจารย์๒- เลือกเรียนหมอเพราะอะไรครับ?
สมชาย-จริงๆแล้ว ผมอยากเรียนหมอเพราะ...
๑.ไม่ต้องคอยลำบากเดินหางานตามบริษัทห้างร้าน ซึ่งในที่สุดก็อาจต้อง"ทำวิจัยฝุ่น" อาชีพหมอนี่แหละครับ หางานง่าย โดยเฉพาะในหน่วยงานของราชการ
๒.ได้เงินเยอะดี ไอ้เรื่องนี้ก็แปลกดีนะครับ สมัยนี้เวลาเพื่อนฝูงนัดพบปะสังสรรค์กันเมื่อใด ก็มักจะชอบถามกันว่าทำงานอะไรเป็นอันดับแรก และคำถามต่อมาก็คือ ได้เงินเดือนเท่าไหร่ สุดท้ายแล้ว คนที่ได้เงินเดือนน้อยกว่าก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอย่างบอกไม่ถูก คนที่ได้เงินเดือนเยอะกว่าก็รู้สึกว่า ตัวเองวิเศษกว่าคนอื่น สังคมทุนนิยมและบริโภคนิยมทำให้คนเราหน้ามืดตามัวได้ถึงเพียงนี้ จนกระทั่งมองเห็นแต่เฉพาะสีของธนบัตร แล้วเดินเหยียบย่ำคุณธรรมที่ตกหล่นอยู่ตามพื้นจนป่นปี้ไม่มีชิ้นดี
๓.เอาไว้ส่งเสริมสถานะทางสังคมไงล่ะครับ พอคนอื่นๆเขารู้ว่าคุณเป็นหมอแล้วนะครับ ท่าทีของเขาจะเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลย เขาจะปฏิบัติต่อคุณอย่างกับราชา และคุณจะรุ้สึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่คับฟ้า คราวนี้ ระบบเส้นสายแบบอภิสิทธิ์ชนก็จะพรั่งพรูตามมา เกิดเป็นความอยุติธรรมในสังคมที่เห็นกันดาษดื่น
๔.ก็ต่อเนื่องจากข้อ๓.นั่นแหละครับ เพราะว่าเมื่อคุณเป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาล คราวนี้แหละครับ ใครก็อยากเป็นญาติของคุณทั้งนั้น(ถึงแม้บางครั้งอาจจะเป็นแค่ญาติปลอมๆก็ตาม) เพราะถ้าญาติของหมอเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา ก็จะใช้เส้นสายของหมอเข้าไปนอนป่วยได้อย่างสง่าผ่าเผยในห้องพิเศษซึ่งง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ ในขณะที่ชาวบ้านตาดำๆต้องรอคิวยาวกว่าจะได้เข้าไปนอน หรือบางครั้งก็ไม่ได้นอนด้วยซ้ำไป
๕.เพื่อที่จะเอาตำแหน่ง"แพทย์"ไปยืนยันกับคนอื่นๆว่า ตนเป็นบุคคลที่มีคุณภาพ และเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือเป็นที่สุด ซึ่งในจุดนี้เอง เราจำเป็นต้องใคร่ครวญให้ดีว่า ในสังคมย่อยๆทุกสังคม ไม่เว้นแม้แต่สังคมของแพทย์เอง ย่อมมีคนที่ดีและเลวอยู่ปะปนกัน ไม่มีสังคมใดที่มีเฉพาะแต่คนดี หรือคนเลวไปทั้งหมด เพราะฉะนั้น คนที่เป็น"หมอ" ก็มีดีและเลวปะปนกันไป คำว่า"พ.บ." "น.พ." หรือ "พ.ญ." ไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันความดีของคนครับ
สมชาย- เพราะหมอได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ทำให้คนเจ็บป่วยมีอาการดีขึ้น หรือหายเป็นปกติ ซึ่งในจุดนั้นจะทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้น และถ้าเขาเป็นที่พึ่งสำคัญของครอบครัวแล้ว ก็มีผลช่วยให้ชีวิตของคนในครอบครัวดีขึ้นด้วยครับ นอกจากนั้น อาชีพหมอยังทำให้เพื่อนมนุษย์มีความสุขด้วย เพราะกายและใจเป็นสิ่งที่สัมพันธ์กัน ถ้ากายป่วยแล้ว ใจก็จะป่วยด้วย จิตใจอันเต็มไปด้วยความห่วงใยของหมอ ตลอดจนการรักษาที่ได้มาตรฐาน จะทำให้ผู้ป่วยดีขึ้นทั้งกายและใจ
อาจารย์๓- แล้วทำไมถึงเลือกเรียนแพทยศาสตร์ และไม่เลือกเรียนทันตแพทย์ หรือสัตวแพทย์ ซึ่งก็เป็นหมอเหมือนกัน
สมชาย-คืออย่างนี้นะครับ ตั้งแต่ผมเกิดมาและใช้ชีวิตมาตลอด ๑๗ ปี สังคมได้สอนอะไรๆให้กับผมไว้มากมาย แต่สอนกันแบบผิดๆทั้งนั้น และผมก็ไม่แน่ใจว่า ผู้ใหญ่คนไหนสอนผมไว้บ้าง รวมทั้งทำไมถึงสอนกันแบบนี้ ตอนที่ผมยังเด็กอยู่ มีผู้ใหญ่หลายคนได้สอนให้ผมยกย่องเชิดชูทุกๆอาชีพที่สุจริต แต่ในตอนนี้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น รู้สึกเหมือนถูกล้างสมองให้นิยมชมชอบแต่อาชีพที่ทำรายได้สูงๆ แล้วก็เป็นอาชีพที่บ่งบอกว่า ผู้นั้นเป็นคนฉลาด มีภูมิปัญญาอันล้ำเลิศและเป็นพวกหัวกะทิ อาชีพเหล่านั้นก็คือ แพทย์ และวิศวกร ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมถึงคิดแบบนี้ได้ และคิดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ และถ้าให้ผมตอบคำถามนี้ ก็คงต้องบอกตามตรงว่า สังคมทำให้ผมเกิดความคิดว่า แพทย์เก่งกว่าทันตแพทย์ และสัตวแพทย์ ทั้งๆที่ต้องเรียน ๖ ปีเท่ากัน มันเป็นความคิดที่ไม่เข้าท่ามากๆ แต่ผมก็เห็นคนที่มีการศึกษาสูงๆคิดแบบนี้เต็มไปหมด
สมชาย- แพทย์สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้มากกว่าทันตแพทย์และสัตวแพทย์ครับ แพทย์เรียนรู้ทุกระบบในร่างกายมนุษย์ และสามารถแก้ปัญหาได้ทั่วร่างกายมนุษย์ ในขณะที่ทันตแพทย์จะแก้ปัญหาได้เฉพาะที่เกี่ยวกับช่องปาก และระบบทางเดินอาหารเท่านั้น ส่วนสัตวแพทย์ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาในร่างกายมนุษย์ได้เลยครับ
อาจารย์๓- ทำไมถึงเลือกเรียนที่นี่เป็นอันดับ๑คะ?
สมชาย-เพราะอยู่ใกล้บ้านที่สุดครับ นั่งรถเมล์ไม่กี่ป้ายก็ถึงแล้วครับ เหตุผลมีแค่นั้นจริงๆครับ
สมชาย- เพราะมหาวิทยาลัย****เป็นสถาบันการศึกษาที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงมายาวนานแล้ว มีศิษย์เก่าที่จบจากคณะแพทยศาสตร์ไปทำคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติมากมายหลายต่อหลายท่าน นอกจากนั้นยังเป็นโรงพยาบาลที่มีผู้ป่วยมารับการรักษามากที่สุดในประเทศ และมีเทคโนโลยีทางการแพทย์อันทันสมัยมากที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปเอเชียครับ
อาจารย์๑- ถ้าหมอเรียนจบหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิตหลักสูตร ๖ ปีแล้ว อยากจะเรียนต่อเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไหนครับ?
สมชาย-ก็คงจะเรียนในสาขาที่ได้ค่าตอบแทนมากๆ ทำงานน้อยๆ อยู่เวรน้อยๆ แปลกนะครับ ตอนผมเป็นเด็ก ผมก็ไม่ได้คิดแบบนี้นะครับ แต่แปลกใจเหมือนกันว่า ใครสอนให้ผมคิดแบบนี้ หรือว่าผมคิดแบบนี้ขึ้นมาเอง(!?!)
สมชาย- ตอนนี้ ผมยังไม่แน่ใจว่าจะเรียนต่อในสาขาใดครับ คงต้องขอเวลาศึกษาลักษณะงานของแต่ละสาขาดูก่อน แล้วจึงค่อยตัดสินใจอีกทีครับ
อาจารย์๒- หมอรู้จักคุณ ชยา รุ่งสุวรรณไหมครับ?(อาจารย์จะทดสอบความรู้รอบตัว)
สมชาย-อ๋อ! ไอ้เศรษฐีหมื่นล้านที่ทำธุรกิจเปลี่ยนอวัยวะจากมนุษย์โคลนนิ่งมาใส่ในคนไข้โรคเรื้อรังที่จำเป็นต้องเปลี่ยนอวัยวะใช่ไหมครับ ผมว่ามันไร้คุณธรรมสิ้นดี มันตกเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์ของระบบทุนนิยมลวงโลกที่เห็นว่า เงินทองสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดๆ...แม้กระทั่งชีวิตคน... มันฆ่ามนุษย์โคลนนิ่งเพื่อเอาอวัยวะไปแลกกับเงินอย่างเลือดเย็นที่สุด
สมชาย- ผมคิดว่า คุณชยาเป็นผู้ให้ความหวังกับผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนอวัยวะเพื่อต่อชีวิตให้ยืนยาวต่อไป ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยเหล่านั้นสามารถทำประโยชน์ให้แก่สังคมได้ต่อไป นับเป็นก้าวใหม่ในวงการแพทย์ และวงการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะเลยทีเดียวครับ
อาจารย์๔- หมอมีงานอดิเรกอะไรบ้างคะ?
สมชาย-กินกับนอนครับ
สมชาย- ผมชอบฟังเพลงกับเล่นดนตรีครับ
อาจารย์๔- ชอบเพลงแนวไหนคะ? เล่นดนตรีด้วยหรือเปล่าคะ?
สมชาย-ผมชอบแนว death metal กับ metal coreครับ ผมชอบคณะ Napalm Death,Deicide, แล้วก็ Carnibal Corpseครับ อ้อ! เกือบลืมBioharzard กับ Limp Bizkitซะแล้ว ส่วนเครื่องดนตรีนั้น ผมใช้กีตาร์ไฟฟ้าของ Jackson กับ ESP ครับ แล้วก็ใช้แอมป์ของMesa-Boogie กับ Marshall ครับ
สมชาย- ถ้าเป็นวงดนตรีของไทย ผมชอบคณะ"ฟองน้ำ" กับ "บอยไทย"ครับ เพราะเป็นวงที่ผสมผสานระหว่างแนวดนตรีฝั่งตะวันตกและตะวันออกได้อย่างลงตัวเป็นที่สุด แต่ถ้าเป็นศิลปินต่างประเทศแล้ว ผมชอบ Miles Davisครับ ท่านเป็นบิดาแห่งแนวดนตรีฟิวชั่นที่หาตัวจับยากมาก มีน้อยคนนักที่จะเล่นดนตรีและแต่งเพลงได้เก่งกาจอย่างท่าน ส่วนเครื่องดนตรีที่ผมชอบ คือ เปียโนครับ
อาจารย์๑- หมอชอบดูภาพยนตร์หรือเปล่าครับ?
สมชาย-ชอบมากครับ หนังในดวงใจของผมคือเรื่องPsychoครับ ผมชอบฉากที่ตัวละครเอกของเรื่องคือนอร์แมนฆ่าหญิงสาวในห้องน้ำ มันช่างเป็นฉากที่สุดคลาสสิกและแสนงดงามจริงๆครับ ส่วนเรื่องโปรดอีกเรื่องหนึ่งคือ Halloween ครับ ผมชอบฉากที่ไมเคิลเอามีดผ่าตัดจ้วงแทงเข้าไปในสันหลังของพยาบาลสาว...แล้วยกตัวเธอจนลอยขึ้นจากพื้น มันช่างเป็นฉากที่สวยสุดๆเลยครับ
สมชาย- ผมชอบ The sound of music ครับ พอดีคุณแม่เอาเรื่องนี้มาให้ดูตอนเด็กๆ ฉากที่ร้องเพลงกันบนภูเขาช่างน่ารักและสดใสจริงๆ ...อ้อ! แล้วก็ E.T.ครับ เป็นเรื่องที่ดูแล้วรู้สึกอบอุ่นมากๆ
อาจารย์๒- เอาละครับ เมื่อหมอมาถึงจุดนี้แล้ว ภูมิใจไหมครับ? ที่สามารถฝ่าฟันเข้ามาจนได้เป็นว่าที่คุณหมอในอนาคต
สมชาย-ผมไม่ค่อยภูมิใจสักเท่าไหร่หรอกครับ เพราะกว่าที่ผมจะมายืนอยู่ที่จุดนี้ได้ ผมก็ต้อง"เหยียบหัวคนอื่น"ขึ้นมาตั้งมากมาย ซึ่งจริงๆแล้ว ผมไม่อยากทำแบบนี้เลย คนทึ่ทำแบบนี้ได้โดยไม่รู้สึกอะไรเลยนั้น คงจะต้องมีจิตใจที่เหี้ยมเกรียม และเลือดเย็นมากพอดู พร้อมกับพกพาความเห็นแก่ตัวแบบสุดๆเลยทีเดียว จึงจะมายืนอยู่ที่จุดนี้ได้ มีน้อยคนนักที่มีทั้งคุณธรรม และสติปัญญาควบคู่กันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
สมชาย- ภูมิใจมากๆเลยครับ โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ของผม
อาจารย์๔- หมอคิดอย่างไรบ้างกับหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิต ๖ ปีในเมืองไทย คิดว่าเป็นระยะเวลาที่เพียงพอไหมคะ?
สมชาย-พอดี ผมรู้จักรุ่นพี่ที่โรงเรียนเก่าคนหนึ่งซึ่งสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ได้ และตอนนี้เป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ ๖ แล้ว เขาเคยคุยให้ฟังเกี่ยวกับหลักสูตร ผมคิดว่า ระยะเวลา๖ปีทำให้นักศึกษาแพทย์มีความรู้ ทักษะ และความมั่นใจในการดูแลผู้ป่วยได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ยังไม่สมบูรณ์พอ และถึงแม้จะเพิ่มระยะเวลาที่เรียนเป็น ๑๐ปี หรือ๑๕ปี ก็คงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น เพราะประเทศไทยเสพติดการป้อนความรู้ให้นักศึกษามากเกินไป ไม่ค่อยได้กระตุ้นให้นักศึกษาคิดแก้ปัญหาเอง เปรียบได้กับการป้อนข้าวให้เด็กที่ไม่รู้จักโตเสียที ในที่สุด เด็กก็หาข้าวกินเองไม่เป็น เกิดเป็นความพิการทางองค์ความรู้ และตามมาด้วยความล้าหลังทางวิชาการและวิทยาการ นอกจากนั้น หลักสูตรแพทยศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเน้นในคุณธรรมและจริยธรรมเท่าที่ควร ทำให้นักศึกษาแพทย์ที่เรียนจบออกไปใช้ความรู้ความสามารถที่มีอยู่มุ่งเน้นไปในทางแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนเป็นหลัก ซึ่งในปัจจุบัน ถึงแม้ได้มีการปรับปรุงหลักสูตรเพื่อแก้ไขปัญหาทางคุณธรรมและจริยธรรมไปบ้างแล้ว ก็ยังไม่เห็นว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ผมคิดว่า เราควรจะต้องหันไปใส่ใจแก้ปัญหากันที่"สถาบันครอบครัว"ซึ่งเป็นหน่วยย่อยที่สุดของสังคม
สมชาย- ผมคิดว่าระยะเวลา ๖ ปีน่าจะเพียงพอที่จะทำให้นักศึกษาแพทย์มีความรู้ ทักษะ และความมั่นใจในการดูแลรักษาผู้ป่วยอย่างเหมาะสมตามมาตรฐานทางการแพทย์ครับ
อาจารย์๓- คิดอย่างไรบ้างคะกับคำว่า"หมอ"
สมชาย- ผมรู้สึกว่า ในยุคสมัยนี้ไม่ค่อยมี"หมอ"ในประเทศไทยครับ ผมมักจะเห็นแต่"พ่อค้า"ทำงานรักษาผู้ป่วยเพื่อแลกกับทรัพย์สินเงินทองมาบำรุงบำเรอความสุขส่วนตัว คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ผมไม่เคยเห็นหมอที่ร่ำรวยจนมีรถยนต์ราคาหลายล้านบาทขับ มีบ้านหลังใหญ่เหมือนปราสาทราชวัง ใส่เสื้อผ้าเครื่องประดับราคาแพง กินอาหารตามภัตตาคารหรูๆสัปดาห์ละหลายครั้ง ก็มีรุ่นผมนี่แหละครับที่เริ่มเห็นหมอรวยๆแบบนี้ พวกเขาคงเอารัดเอาเปรียบคนไข้ไว้เยอะจนมั่งคั่งร่ำรวยกันขนาดนี้
สมชาย- หมอเป็นผู้ที่ช่วยให้ผู้ป่วยหายจากโรคภัยไข้เจ็บ ช่วยชุบชีวิตผู้ป่วยที่กำลังจะตาย เป็นพ่อพระแม่พระผู้มีความเมตตากรุณา และปรารถนาดีต่อผู้ป่วย เป็นผู้เสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อประโยชน์สุขของสังคมครับ
อาจารย์๑- ถ้าหมอเจอคน ๓คน คือ เด็กอายุ ๓ ปี สตรีมีครรภ์ และชายชราอายุ ๗๐ ปี กำลังจะจมน้ำตายพร้อมๆกัน หมอจะเลือกช่วยคนไหนก่อนครับ?
สมชาย-ตามหลักจริยธรรมแล้ว ควรจะต้องเข้าไปช่วยสตรีมีครรภ์ก่อน เพราะว่าเปรียบได้กับการช่วยคนถึง ๒ คน แต่ถ้าโชคร้ายที่ชายชราเป็นผู้ที่มีผลประโยชน์กับเราแล้ว เราก็คงต้องเลือกช่วยชายชราก่อน ซึ่งในสังคมปัจจุบันก็มักจะทำกันแบบนี้จริงๆ มันทำให้ผมรู้สึกสับสนกับแนวความคิดของคนสมัยนี้มากว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้องกันแน่ คนสมัยนี้มักมีหลักการและเหตุผลอันสวยหรูเอาไว้พูดเพื่อให้ตนเองดูดี มีคุณค่า และน่าเชื่อถือ แต่เวลาปฏิบัติจริงแล้ว เขาก็ทำลายหลักการที่พูดไว้จนป่นปี้หมด แล้วต่อไป เด็กไทยจะยึดถืออะไรเป็นกฎเกณฑ์ในชีวิตได้ในเมื่อผู้ใหญ่ในสังคมยังประพฤติตัวกันแบบนี้
สมชาย- ช่วยสตรีมีครรภ์ก่อนครับ เพราะในอนาคตข้างหน้า เธอผู้นั้นจะได้ให้กำเนิดบุตรที่เป็นกำลังสำคัญของสังคมต่อไป และเธอก็อาจจะให้กำเนิดบุตรคนต่อๆไปได้อีก
อาจารย์๑- มีอาจารย์ท่านใดมีคำถามอีกไหมครับ?
..............
อาจารย์๑- ถ้าอย่างนั้นคงพอเท่านี้ครับ ผลการสอบสัมภาษณ์เป็นอย่างไร ทางเราจะติดต่อหมอเพื่อแจ้งให้ทราบอีกที เชิญหมอไปพักผ่อนได้ครับ
สมชาย- ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ
เป็นอย่างไรบ้างครับ คุณคงเห็นแล้วว่า สิ่งที่เราคิดกับสิ่งที่เราพูดออกไปนั้น ไม่จำเป็นต้องตรงกัน ทำไมเหรอครับ? ผมคิดว่า คุณคงจะตอบได้เองว่าเพราะเหตุใด...คนเราถึงเป็นแบบนี้ ใครกันทำให้เขาเป็นแบบนี้ แต่สิ่งสำคัญที่ต้องแก้ไขคือ ทำอย่างไรจึงจะทำให้คนในสังคมแสดงออกในสิ่งที่เขาเป็นอยู่จริงๆ ไม่เสแสร้งหลอกลวงไปเรื่อยๆ เพราะถ้าการเสแสร้งยังไม่หมดไป การแก้ไขก็ยังคงไม่ตรงจุดตรงประเด็นเสียที
คนในสังคมถูกจำกัดสิทธิในการแสดงออกมากเกินไปหรือไม่? คนเรามักถูกกำหนดให้แสดงออกในสิ่งที่ทำให้"ผู้รับสาร"ถูกใจ แต่น่าเสียดายที่เป็นการหลอกลวง และไร้ซึ่งตัวตนอันแท้จริง
ตอนนี้ คุณนั่นแหละ ต้องตัดสินใจว่า อยากได้ความถูกใจแต่หลอกลวง หรือว่าอยากได้ "ความจริงแท้"กันแน่
------------------------------------------------------
๑.ถ้าผู้อ่านมีอายุน้อยกว่า ๑๕ ปี ผู้ปกครองควรพิจารณาให้คำแนะนำในการอ่าน
๒.ข้อความที่พิมพ์ด้วยตัวอักษรตัวหนาและถูกขีดฆ่า คือ สิ่งที่ตัวละครคิดและอยากพูด แต่ไม่กล้าพูดออกมา
๓.กรุณาอย่าหลอกตัวเอง และควรทำใจให้ยอมรับความเป็นจริงในสังคมกันบ้าง แต่ถ้าคุณไม่สามารถยอมรับได้แล้วละก็... ให้อ่านเฉพาะข้อความตรงที่ไม่ถูกขีดฆ่าก็ได้
๔.เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถูกแต่งขึ้น ตัวละครทั้งหมดในเรื่องเป็นตัวละครที่ถูกสมมุติขึ้นมาทั้งสิ้น
วันที่ ๑๕ พ.ค. ๒๕๔๘
เวลา ๑๔.๓๘ น.
ณ บริเวณหน้าห้องสอบสัมภาษณ์หมายเลข ๔ ของคณะแพทยศาสตร์แห่งหนึ่ง "สมชาย"คือผู้โชคดีคนหนึ่งที่ใช้ความมานะบากบั่นฝ่าฟันการสอบอันแสนหฤโหด จนสอบได้คณะแพทยศาสตร์แห่งนี้ ซึ่งถือว่าเป็นสถาบันที่มีคนอยากเรียนมากเป็นอันดับที่ ๑ ของประเทศไทย สีหน้าและท่าทางของเขาแสดงออกถึงความมั่นใจที่มีอยู่เต็มเปี่ยมเกิน ๑๐๐ เปอร์เซนต์
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งกวักมือเรียกให้เขาเข้าไปในห้องหมายเลข ๔ เขาเดินเข้าไปในห้องด้วยอาการอันสงบ เอาละครับ...คุณไม่ต้องรู้ว่า"ผม"คือใคร... ขอแต่เพียงให้รับทราบว่า "ผม"รู้และเห็นในทุกสิ่งที่มนุษย์โลกคิด พูด และทำ ไม่มีใครหลอกผมได้ เชิญคุณอ่านต่อเอาเองเถอะครับว่า เขาคุยอะไรกัน เพื่อจะได้เอาเนื้อหาที่ได้รับไปแนะนำน้องๆ หรือลูกๆหลานๆที่กำลังจะสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ให้ได้ทราบแนวทางในการสอบสัมภาษณ์ ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์กับเขาต่อไป
สมชาย- สวัสดีครับ
อาจารย์๑- เชิญนั่งครับ ตามสบายเลยนะ
สมชาย- ขอบคุณครับ
อาจารย์๒- หมอเรียนจบจากไหนครับ?
สมชาย- โรงเรียน***ครับ
อาจารย์๓- เกรดเฉลี่ยตลอดชั้นม.ปลายได้เท่าไหร่คะ?
สมชาย-
สมชาย- ก็ไม่เท่าไหร่หรอกครับ แค่๓.๙๓
อาจารย์๒- ผมว่า ก็เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าโรงเรียน***มีชื่อเสียงมาก และมีแต่นักเรียนเก่งๆทั้งนั้น แล้วโรงเรียนของหมอสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ได้ทั้งหมดกี่คนครับ?
สมชาย-
สมชาย- สอบได้ ๑๓๙ คนครับ
อาจารย์๑- โอ้โห! ได้ข่าวว่ามากเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ
สมชาย- ใช่ครับ
อาจารย์๔- รู้สึกอย่างไรบ้างคะที่สอบได้ที่นี่?
สมชาย-
สมชาย- ดีใจมากเลยครับ
อาจารย์๒- เลือกเรียนหมอเพราะอะไรครับ?
สมชาย-
สมชาย- เพราะหมอได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ทำให้คนเจ็บป่วยมีอาการดีขึ้น หรือหายเป็นปกติ ซึ่งในจุดนั้นจะทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้น และถ้าเขาเป็นที่พึ่งสำคัญของครอบครัวแล้ว ก็มีผลช่วยให้ชีวิตของคนในครอบครัวดีขึ้นด้วยครับ นอกจากนั้น อาชีพหมอยังทำให้เพื่อนมนุษย์มีความสุขด้วย เพราะกายและใจเป็นสิ่งที่สัมพันธ์กัน ถ้ากายป่วยแล้ว ใจก็จะป่วยด้วย จิตใจอันเต็มไปด้วยความห่วงใยของหมอ ตลอดจนการรักษาที่ได้มาตรฐาน จะทำให้ผู้ป่วยดีขึ้นทั้งกายและใจ
อาจารย์๓- แล้วทำไมถึงเลือกเรียนแพทยศาสตร์ และไม่เลือกเรียนทันตแพทย์ หรือสัตวแพทย์ ซึ่งก็เป็นหมอเหมือนกัน
สมชาย-
สมชาย- แพทย์สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้มากกว่าทันตแพทย์และสัตวแพทย์ครับ แพทย์เรียนรู้ทุกระบบในร่างกายมนุษย์ และสามารถแก้ปัญหาได้ทั่วร่างกายมนุษย์ ในขณะที่ทันตแพทย์จะแก้ปัญหาได้เฉพาะที่เกี่ยวกับช่องปาก และระบบทางเดินอาหารเท่านั้น ส่วนสัตวแพทย์ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาในร่างกายมนุษย์ได้เลยครับ
อาจารย์๓- ทำไมถึงเลือกเรียนที่นี่เป็นอันดับ๑คะ?
สมชาย-
สมชาย- เพราะมหาวิทยาลัย****เป็นสถาบันการศึกษาที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงมายาวนานแล้ว มีศิษย์เก่าที่จบจากคณะแพทยศาสตร์ไปทำคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติมากมายหลายต่อหลายท่าน นอกจากนั้นยังเป็นโรงพยาบาลที่มีผู้ป่วยมารับการรักษามากที่สุดในประเทศ และมีเทคโนโลยีทางการแพทย์อันทันสมัยมากที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปเอเชียครับ
อาจารย์๑- ถ้าหมอเรียนจบหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิตหลักสูตร ๖ ปีแล้ว อยากจะเรียนต่อเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไหนครับ?
สมชาย-
สมชาย- ตอนนี้ ผมยังไม่แน่ใจว่าจะเรียนต่อในสาขาใดครับ คงต้องขอเวลาศึกษาลักษณะงานของแต่ละสาขาดูก่อน แล้วจึงค่อยตัดสินใจอีกทีครับ
อาจารย์๒- หมอรู้จักคุณ ชยา รุ่งสุวรรณไหมครับ?(อาจารย์จะทดสอบความรู้รอบตัว)
สมชาย-
สมชาย- ผมคิดว่า คุณชยาเป็นผู้ให้ความหวังกับผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนอวัยวะเพื่อต่อชีวิตให้ยืนยาวต่อไป ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยเหล่านั้นสามารถทำประโยชน์ให้แก่สังคมได้ต่อไป นับเป็นก้าวใหม่ในวงการแพทย์ และวงการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะเลยทีเดียวครับ
อาจารย์๔- หมอมีงานอดิเรกอะไรบ้างคะ?
สมชาย-
สมชาย- ผมชอบฟังเพลงกับเล่นดนตรีครับ
อาจารย์๔- ชอบเพลงแนวไหนคะ? เล่นดนตรีด้วยหรือเปล่าคะ?
สมชาย-
สมชาย- ถ้าเป็นวงดนตรีของไทย ผมชอบคณะ"ฟองน้ำ" กับ "บอยไทย"ครับ เพราะเป็นวงที่ผสมผสานระหว่างแนวดนตรีฝั่งตะวันตกและตะวันออกได้อย่างลงตัวเป็นที่สุด แต่ถ้าเป็นศิลปินต่างประเทศแล้ว ผมชอบ Miles Davisครับ ท่านเป็นบิดาแห่งแนวดนตรีฟิวชั่นที่หาตัวจับยากมาก มีน้อยคนนักที่จะเล่นดนตรีและแต่งเพลงได้เก่งกาจอย่างท่าน ส่วนเครื่องดนตรีที่ผมชอบ คือ เปียโนครับ
อาจารย์๑- หมอชอบดูภาพยนตร์หรือเปล่าครับ?
สมชาย-
สมชาย- ผมชอบ The sound of music ครับ พอดีคุณแม่เอาเรื่องนี้มาให้ดูตอนเด็กๆ ฉากที่ร้องเพลงกันบนภูเขาช่างน่ารักและสดใสจริงๆ ...อ้อ! แล้วก็ E.T.ครับ เป็นเรื่องที่ดูแล้วรู้สึกอบอุ่นมากๆ
อาจารย์๒- เอาละครับ เมื่อหมอมาถึงจุดนี้แล้ว ภูมิใจไหมครับ? ที่สามารถฝ่าฟันเข้ามาจนได้เป็นว่าที่คุณหมอในอนาคต
สมชาย-
สมชาย- ภูมิใจมากๆเลยครับ โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ของผม
อาจารย์๔- หมอคิดอย่างไรบ้างกับหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิต ๖ ปีในเมืองไทย คิดว่าเป็นระยะเวลาที่เพียงพอไหมคะ?
สมชาย-
สมชาย- ผมคิดว่าระยะเวลา ๖ ปีน่าจะเพียงพอที่จะทำให้นักศึกษาแพทย์มีความรู้ ทักษะ และความมั่นใจในการดูแลรักษาผู้ป่วยอย่างเหมาะสมตามมาตรฐานทางการแพทย์ครับ
อาจารย์๓- คิดอย่างไรบ้างคะกับคำว่า"หมอ"
สมชาย-
สมชาย- หมอเป็นผู้ที่ช่วยให้ผู้ป่วยหายจากโรคภัยไข้เจ็บ ช่วยชุบชีวิตผู้ป่วยที่กำลังจะตาย เป็นพ่อพระแม่พระผู้มีความเมตตากรุณา และปรารถนาดีต่อผู้ป่วย เป็นผู้เสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อประโยชน์สุขของสังคมครับ
อาจารย์๑- ถ้าหมอเจอคน ๓คน คือ เด็กอายุ ๓ ปี สตรีมีครรภ์ และชายชราอายุ ๗๐ ปี กำลังจะจมน้ำตายพร้อมๆกัน หมอจะเลือกช่วยคนไหนก่อนครับ?
สมชาย-
สมชาย- ช่วยสตรีมีครรภ์ก่อนครับ เพราะในอนาคตข้างหน้า เธอผู้นั้นจะได้ให้กำเนิดบุตรที่เป็นกำลังสำคัญของสังคมต่อไป และเธอก็อาจจะให้กำเนิดบุตรคนต่อๆไปได้อีก
อาจารย์๑- มีอาจารย์ท่านใดมีคำถามอีกไหมครับ?
..............
อาจารย์๑- ถ้าอย่างนั้นคงพอเท่านี้ครับ ผลการสอบสัมภาษณ์เป็นอย่างไร ทางเราจะติดต่อหมอเพื่อแจ้งให้ทราบอีกที เชิญหมอไปพักผ่อนได้ครับ
สมชาย- ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ
เป็นอย่างไรบ้างครับ คุณคงเห็นแล้วว่า สิ่งที่เราคิดกับสิ่งที่เราพูดออกไปนั้น ไม่จำเป็นต้องตรงกัน ทำไมเหรอครับ? ผมคิดว่า คุณคงจะตอบได้เองว่าเพราะเหตุใด...คนเราถึงเป็นแบบนี้ ใครกันทำให้เขาเป็นแบบนี้ แต่สิ่งสำคัญที่ต้องแก้ไขคือ ทำอย่างไรจึงจะทำให้คนในสังคมแสดงออกในสิ่งที่เขาเป็นอยู่จริงๆ ไม่เสแสร้งหลอกลวงไปเรื่อยๆ เพราะถ้าการเสแสร้งยังไม่หมดไป การแก้ไขก็ยังคงไม่ตรงจุดตรงประเด็นเสียที
คนในสังคมถูกจำกัดสิทธิในการแสดงออกมากเกินไปหรือไม่? คนเรามักถูกกำหนดให้แสดงออกในสิ่งที่ทำให้"ผู้รับสาร"ถูกใจ แต่น่าเสียดายที่เป็นการหลอกลวง และไร้ซึ่งตัวตนอันแท้จริง
ตอนนี้ คุณนั่นแหละ ต้องตัดสินใจว่า อยากได้ความถูกใจแต่หลอกลวง หรือว่าอยากได้ "ความจริงแท้"กันแน่
------------------------------------------------------
วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2555
๑๑ แนวคิดที่ควรต้องทบทวนใหม่
สังคมไทยในปัจจุบันเป็นสังคมสมัยใหม่ ผู้คนต่างเร่งรีบกันทำงานเพื่อความอยู่รอด ต่างแก่งแย่งแข่งขันเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ เวลาในชีวิตดูจะเหลือน้อยลง จนบางครั้งเราได้มองบางสิ่งอย่างผิวเผิน แล้วนำมายึดถือเป็นแก่นสารในชีวิตมากเกินไป ในโอกาสนี้ จะขอหยิบยกแนวคิดต่างๆที่ถูกคนในสังคมบิดเบือนจนผิดรูปไปหมดแล้ว มานำเสนอให้ท่านลองพิจารณาดูว่า ท่านคิดแบบนี้อยู่ด้วยหรือไม่ ดังต่อไปนี้
๑. คนที่ขับรถยนต์ราคาแพงเป็นคนมีคุณค่า คนเรามักประเมินคุณค่าของคนจากรถยนต์ที่เขาใช้ขับขี่ ซึ่งอธิบายได้จากระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมและลัทธิบริโภคนิยมที่ทำให้คนบูชาเงิน วัตถุ และทรัพย์สินเป็นพระเจ้า และคิดว่าคุณค่าของคนอยู่ที่จำนวนเงิน หรือทรัพย์สินที่มี ผนวกเข้ากับความคิดที่ว่า คนที่มีเงินมากจึงจะสามารถซื้อรถยนต์ราคาแพงมาใช้ได้ ดังนั้น จึงตีความกันได้ว่า คนที่มีรถยนต์ราคาแพงใช้เป็นคนมีคุณค่า ซึ่งความคิดแบบนี้เป็นการมองเพียงด้านเดียว เพราะว่าคนที่ขับรถยนต์ราคาแพงนั้นเป็นไปได้หลายกรณี ดังนี้
๑.๑. มีเงินมากจริง และหาเงินมาด้วยวิธีการที่สุจริต แต่น่าเสียดายที่ใช้เงินไม่เป็น กล่าวคือ เขาควรนำเงินไปซื้อสิ่งของจำเป็นอย่างอื่นที่มีประโยชน์ต่อชีวิตมากกว่านี้ได้อีกหลายอย่าง แล้วซื้อรถยนต์ที่มีราคาถูกกว่านี้
๑.๒.มีเงินมากจริง แต่หามาด้วยวิธีการที่ทุจริต เช่น คดโกง ฉ้อราษฎร์บังหลวง ลักขโมย ปล้น ขายสินค้าผิดกฎหมาย หลีกเลี่ยงภาษี เป็นต้น
๑.๓.ไม่ได้มีเงินมากจริง และซื้อรถด้วยการชำระโดยใช้ระบบเงินผ่อน
๑.๔.ไม่ได้มีเงินมากจริง และใช้รถยนต์มือสองซึ่งมีราคาถูกกว่ารถยนต์ใหม่
๑.๕.ขโมยรถยนต์มา
เท่าที่นึกมาได้ ๕ ข้อ ก็ยังหาไม่เจอว่า มีกรณีใดบ้างที่เราควรจะสรรเสริญคนที่ใช้รถยนต์ราคาแพง
๒.คนที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าราคาแพง คนที่ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ราคาแพงเป็นคนมีคุณค่า
กรณีเช่นนี้ก็ไม่จริงเสมอไป แนวคิดก็จะคล้ายคลึงกับข้อ๑. ที่ว่าเป็นการเชื่อมโยงจากวัตถุที่มีไปสู่จำนวนเงินที่หามาได้ ซึ่งถ้าหาเงินมาด้วยวิธีที่สุจริต ก็นับว่าเป็นการบริหารค่าใช้จ่ายที่ไม่เหมาะสม เพราะเสื้อผ้าที่มีคุณภาพนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นยี่ห้อที่หรูหรา หรือราคาแพงเสมอไป ส่วนโทรศัพท์เคลื่อนที่ราคาแพงนั้นคงขึ้นอยู่กับเหตุผลในการใช้งานว่า จำเป็นต้องใช้เพื่อธุระโทรออก หรือรับสายเท่านั้น หรือจำเป็นต้องใช้งานที่มากกว่านั้น เช่น ถ่ายรูป อินเตอร์เน็ต ส่งอีเมล บันทึกเสียง ฟังเพลง เป็นต้น
๓.คนที่พูดเก่ง หรือพูดดีเป็นคนที่มีคุณภาพ เรามักพบแนวคิดแบบนี้ได้บ่อย เห็นได้จากในวงการ"การเมือง"ที่ผู้คนส่วนใหญ่นิยมชมชอบนักการเมืองที่พูดเก่ง โดยคิดเอาเองว่า คนที่มีความคิดดีจะเป็นคนที่พูดเก่ง ซึ่งไม่จริงเสมอไป คนที่มีความคิดดีไม่จำเป็นต้องพูดเก่ง ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆมากมาย เช่น นิสัยใจคอ บุคลิกภาพ ทัศนคติ เป็นต้น
คุณภาพของคนนั้น วัดได้จากผลงานซึ่งเกิดจาก"การกระทำ" ซึ่งเป็นผลผลิตจาก"ความคิด" มากกว่า"น้ำลาย" ซึ่งเป็นเพียงเปลือกนอกอันเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพภายนอกเท่านั้น
๔.คนที่ไปเรียนที่สถาบันการศึกษาในต่างประเทศเป็นคนมีคุณภาพมากกว่าคนที่เรียนในประเทศไทย แนวคิดนี้เป็นจริงแค่ส่วนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนน้อย มีหลายคนอ้างเหตุผลว่า...
๔.๑.หลักสูตรของสถาบันการศึกษาในต่างประเทศได้มาตรฐานมากกว่าในประเทศไทย
๔.๒.การศึกษาในต่างประเทศช่วยให้เก่งภาษาต่างประเทศมากกว่าในประเทศไทย
๔.๓.การศึกษาในต่างประเทศช่วยให้รู้จักรับผิดชอบในชีวิตของตัวเองมากกว่า
จะเห็นว่า การที่คุณจะได้มาซึ่ง ๓ ข้อนี้นั้น คุณไม่จำเป็นต้องไปศึกษาที่ต่างประเทศ และคนที่ไปต่างประเทศก็ไม่ได้ครบทั้ง ๓ ข้อนี้เสมอไป เรื่องนี้มักขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบของผู้เรียนมากกว่า ที่สำคัญกว่านั้นคือ ตอนนี้ คนไทยกำลังหลับหูหลับตาเรียนตามหลักวิชาการของต่างประเทศล้วนๆ โดยไม่ทันคิดว่า ประเทศไทยก็มีภูมิปัญญาตะวันออก และภูมิปัญญาท้องถิ่นซึ่งน่าจะเข้ากันได้กับประเทศไทยมากกว่าที่จะไปเลียนแบบชาติตะวันตกมาทั้งหมด
๕.คนที่เรียนหนังสือเก่งจะประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่าคนที่เรียนไม่เก่ง ในประเด็นนี้ ขึ้นอยู่กับว่า จะให้คำนิยามของคำว่า"ความสำเร็จ"ว่าอย่างไร ถ้าความสำเร็จหมายถึง เงินและทรัพย์สินแล้ว คนเรียนเก่งอาจได้ตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดี มีเงินเดือนสูง ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นความสำเร็จแบบหนึ่ง แต่อย่าลืมว่า มีคนที่เรียนไม่จบการศึกษาภาคบังคับ แต่ได้ทำธุรกิจบางประเภทอย่างมุ่งมั่นจนธุรกิจเติบโตกลายเป็นธุรกิจร้อยล้านจนถึงพันล้านหมื่นล้าน ซึ่งก็มีตัวอย่างให้เห็นมากมายแล้ว
นอกจากนั้นแล้ว ถ้าเราให้คำนิยามความสำเร็จว่าหมายถึง การมีชีวิตที่มีความสุขแล้ว เราคงจะต้องเอ่ยถึงคำทั้ง ๓ คำนี้กันสักหน่อย ดังนี้
1. I.Q.(Intelligent Quotient)
2. E.Q.(Emotional Quotient)
3. M.Q.(Moral Quotient)
ซึ่งทั้ง ๓ คำนี้เป็นส่วนหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญมากในการประเมินว่า คนแต่ละคนจะประสบความสำเร็จในชีวิตมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะ E.Q.และ M.Q.นั้นดูจะมีอิทธิพลต่อความสำเร็จมากกว่า I.Q. ซึ่งจะเห็นได้จากตัวอย่างผู้ประสบความล้มเหลวในชีวิตหลายต่อหลายคนนั้นมีประวัติเคยเป็นคนเรียนเก่งมาก่อน
๖.ผู้ที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงเป็นคนที่มีคุณค่า นั่นเป็นแนวคิดที่เกิดจากการมองสิ่งต่างๆแบบแยกส่วน กระแสหลักที่เกิดขึ้นชัดเจนในขณะนี้คือ การใช้คอมพิวเตอร์ รถยนต์ โทรศัพท์เคลื่อนที่(โดยเฉพาะแบบสมาร์ทโฟน) ตลอดจนเครื่องมือทางการแพทย์อันทันสมัย เช่น CT SCAN,MRI เป็นต้น ซึ่งเราไม่ควรไปภาคภูมิใจกับสิ่งเหล่านี้มากนัก เพราะสิ่งที่เราใช้อยู่นั้น ไม่ได้เกิดจากมันสมองของคนไทยเลย เราเอาของเขามาใช้ทั้งนั้น เราไม่คิดค้นเทคโนโลยี แต่กลับสนุกสนานในการใช้เทคโนโลยีที่คนอื่นเขาคิดขึ้นมาอย่างไม่ได้ไตร่ตรอง หรือใช้วิจารณญาณอย่างเหมาะสม มันไม่น่าภูมิใจหรอกครับ
๗.ยิ่งมีเงินหรือทรัพย์สินมาก ก็ยิ่งมีความสุขมาก คนส่วนใหญ่ต้องการมีเงินทองทรัพย์สินมากๆ เพื่อจะได้ซื้อของทุกอย่างที่อยากได้ แต่ถ้าสังเกตุให้ดีแล้ว จะเห็นว่าความต้องการของมนุษย์เราไม่มีที่สิ้นสุด เพราะเมื่อเราได้ในสิ่งที่อยากได้สักอย่างหนึ่งแล้ว เราก็จะมีสิ่งใหม่ที่อยากได้เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ถึงจะรวยล้นฟ้า แต่เงินก็ไม่สามารถซื้อทุกอย่างได้ โดยเฉพาะซื้อ"ใจคน"
ดังนั้น ถ้าเราไม่ลดความอยากลงบ้าง รับรองว่าไม่มีวันพบกับ"ความสุขที่แท้จริง"ได้ อย่าคิดว่าคนจนจะทุกข์ทรมานมากกว่าคนรวยเสมอไป เพราะคนรวยมักจะชอบสนองความอยากของตนจนเคยตัว ทำให้ขาดภูมิคุ้มกันทางจิตใจ โดยเฉพาะเมื่อพบว่า เงินไม่สามารถซื้อทุกสิ่งทุกอย่างได้ ก็จะเกิดภาวะสะเทือนใจอย่างรุนแรง จนทำให้ตัดสินใจทำสิ่งร้ายแรงบางอย่างได้ เช่น ฆ่าตัวตาย ฆ่าคนตาย เป็นต้น
๘.คนที่มีทัศนคติและการกระทำสอดคล้องกับคนส่วนใหญ่ในสังคม ถือว่าเป็นผู้มีคุณค่า เนื่องจากประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แนวคิดนี้จึงค่อนข้างมีอิทธิพลสูง และเมื่อมองลงไปในเบื้องลึกของจิตใจมนุษย์แล้ว มนุษย์เป็นสัตว์สังคม และมีความกลัวต่อการอยู่โดดเดี่ยว ดังนั้น มนุษย์จึงต้องไขว่ขว้าหาสิ่งยึดเหนี่ยวให้ตัวเองด้วยการพยายามเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของคนกลุ่มใหญ่ ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกมั่นคงในจิตใจ รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า และเป็นที่ยอมรับของคนกลุ่มใหญ่
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากมากที่จะได้พบคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆอันเป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ การพัฒนาจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า และเต็มไปด้วยการเอาของคนอื่นมาใช้เสียเป็นส่วนใหญ่
๙.สิ่งที่เรามองเห็น คือ สิ่งที่เป็นเช่นนั้นจริงๆ แนวคิดแบบนี้ไม่เป็นจริงเสมอไป แต่คนส่วนใหญ่มักจะเชื่อสายตาตัวเองเสียเหลือเกิน จะขอยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่สนับสนุนว่า เราไม่ควรเชื่อสายตาตัวเองเสมอไป คือ "แบบจำลองอะตอมกลุ่มหมอก" ซึ่งเป็นตัวอย่างสนับสนุนที่ดีว่า สิ่งของที่เราเห็นว่ามันวางอยู่นิ่งๆของมันอย่างนั้น และคงรูปร่างอยู่ได้อย่างนั้น แท้จริงแล้ว กลับไร้ซึ่งความเสถียรโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นท่อนไม้ที่ตกอยู่ตามข้างถนน หรือรถยนต์ราคา ๒๐ กว่าล้านบาทก็ตาม ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่จิรังยั่งยืน และมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาด้วยซ้ำ เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนสอดคล้องกับกฎแห่งไตรลักษณ์(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)ได้เป็นอย่างดี และจากประวัติศาสตร์ของโครงสร้างอะตอมในอดีตจนถึงปัจจุบัน สสารประกอบด้วยอะตอม โดยในอะตอมมีนิวเคลียสซึ่งมีอิเลคตรอนวิ่งวนอยู่รอบๆ เหตุการณ์นี้แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงในตำแหน่งของอิเลคตรอนในทุกขณะเวลา และในยุคต่อมา แบบจำลองอะตอมกลุ่มหมอกยิ่งตอกย้ำความไม่แน่นอน(เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา)มากยิ่งขึ้นไปอีกด้วยการกล่าวถึงความน่าจะเป็นของตำแหน่งของอนุภาคในตำแหน่งต่างๆภายในอะตอม โดยที่อะตอมเป็นองค์ประกอบย่อยของทุกสิ่งในโลก ซึ่งทำให้กล่าวได้ว่า สรรพสิ่งในโลกล้วนเปลี่ยนแปลง แต่ทว่ามนุษย์กลับไปสนใจแต่เฉพาะการเปลี่ยนแปลงหยาบๆ เช่น เมื่อพบว่ารถยนต์ของตัวเองถูกชนบุบเล็กน้อย ก็มัวแต่มานั่งเสียอกเสียใจอยู่หลายวัน โดยหารู้ไม่ว่า จริงๆแล้ว รถคันนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกเสี้ยววินาที อย่างนี้เป็นต้น
๑๐.ทุกสิ่งทุกอย่างมีความแตกต่างกัน ไม่เกี่ยวข้องกัน และไม่มีผลกระทบต่อกัน แนวคิดนี้ไม่จริงเสมอไป ด้วยเหตุผลสนับสนุน ๒ ประการ ดังนี้
๑.จากทฤษฎีที่กล่าวว่า จักรวาลเกิดจากการระเบิดครั้งใหญ่ของจุดเล็กๆซึ่งมีความหนาแน่นสูงมากๆหรือที่เรียกว่า "บิกแบง" จากเหตุการณ์นี้ เราสามารถกล่าวได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในจักรวาล ล้วนกำเนิดจากวัตถุธาตุชนิดเดียวกันที่อยู่ในจุดเล็กๆดังกล่าวก่อนที่จะเกิด"บิกแบง" จึงอนุมานต่อไปได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมนุษย์นั้น ล้วนเคยอยู่ในจุดเล็กๆดังกล่าวแล้วทั้งสิ้น ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมนุษย์และจักรวาลล้วนเป็นวัตถุธาตุชนิดเดียวกันทั้งสิ้น
๒.อะตอมประกอบด้วยอนุภาคโปรตอน นิวตรอน อิเลคตรอน และอนุภาคอื่นๆที่เพิ่งถูกค้นพบในภายหลัง ซึ่งทุกสิ่งในจักรวาลล้วนประกอบด้วยอนุภาคย่อยคือ อะตอม เหมือนกัน
๑๑.มีคนจำนวนมากที่ทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมเท่านั้น คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า มีคนเป็นจำนวนมากในโลกที่มีจิตใจงดงาม และตั้งมั่นในการเสียสละเพื่อส่วนรวมเป็นหลัก แต่ในความเป็นจริงนั้น มนุษย์มีความปรารถนาอยู่ลึกๆในจิตใจในการที่จะทำให้ตนเองเป็นผู้ที่มีคุณค่าเหนือผู้อื่น ซึ่งการแสดงออกเพื่อตอบสนองต่อความต้องการดังกล่าวนั้น เป็นไปได้ ๒ รูปแบบ คือ
๑.ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวอย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งถือว่าเป็น"คนเห็นแก่ตัว"
๒.ทำทุกสิ่งทุกอย่าง(หรือบางสิ่งบางอย่าง) เพื่อแสดงให้เห็นว่า ตนเป็นผู้เสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม(โดยที่ไม่ได้สนใจในผลประโยชน์ส่วนรวมอย่างแท้จริง) บุคคลเหล่านี้ต้องการได้รับความนิยมชมชอบจากคนในสังคม เพื่อให้เกิดความรู้สึกว่า ตนเองมีคุณค่ามากขึ้น ซึ่งเมื่อเราพิจารณาอย่างลึกซึ้งแล้ว ความคิดแบบนี้ถือว่าเป็นผลประโยชน์ส่วนตนแบบหนึ่ง
จากเนื้อหาทั้ง ๑๑ ข้อที่ผ่านตาท่านไปแล้วนั้น อาจพอจะไปกระตุ้นเตือนใครบางคนทีเผลอใจ หลงใหลไปกับความคิดโดยไม่ทันได้สังเกตจิตใจตัวเองให้ละเอียดถี่ถ้วน ขอเพียงแค่ตั้งใจมองให้ลึกซึ้งกว่าที่เคย ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้วครับ
๑. คนที่ขับรถยนต์ราคาแพงเป็นคนมีคุณค่า คนเรามักประเมินคุณค่าของคนจากรถยนต์ที่เขาใช้ขับขี่ ซึ่งอธิบายได้จากระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมและลัทธิบริโภคนิยมที่ทำให้คนบูชาเงิน วัตถุ และทรัพย์สินเป็นพระเจ้า และคิดว่าคุณค่าของคนอยู่ที่จำนวนเงิน หรือทรัพย์สินที่มี ผนวกเข้ากับความคิดที่ว่า คนที่มีเงินมากจึงจะสามารถซื้อรถยนต์ราคาแพงมาใช้ได้ ดังนั้น จึงตีความกันได้ว่า คนที่มีรถยนต์ราคาแพงใช้เป็นคนมีคุณค่า ซึ่งความคิดแบบนี้เป็นการมองเพียงด้านเดียว เพราะว่าคนที่ขับรถยนต์ราคาแพงนั้นเป็นไปได้หลายกรณี ดังนี้
๑.๑. มีเงินมากจริง และหาเงินมาด้วยวิธีการที่สุจริต แต่น่าเสียดายที่ใช้เงินไม่เป็น กล่าวคือ เขาควรนำเงินไปซื้อสิ่งของจำเป็นอย่างอื่นที่มีประโยชน์ต่อชีวิตมากกว่านี้ได้อีกหลายอย่าง แล้วซื้อรถยนต์ที่มีราคาถูกกว่านี้
๑.๒.มีเงินมากจริง แต่หามาด้วยวิธีการที่ทุจริต เช่น คดโกง ฉ้อราษฎร์บังหลวง ลักขโมย ปล้น ขายสินค้าผิดกฎหมาย หลีกเลี่ยงภาษี เป็นต้น
๑.๓.ไม่ได้มีเงินมากจริง และซื้อรถด้วยการชำระโดยใช้ระบบเงินผ่อน
๑.๔.ไม่ได้มีเงินมากจริง และใช้รถยนต์มือสองซึ่งมีราคาถูกกว่ารถยนต์ใหม่
๑.๕.ขโมยรถยนต์มา
เท่าที่นึกมาได้ ๕ ข้อ ก็ยังหาไม่เจอว่า มีกรณีใดบ้างที่เราควรจะสรรเสริญคนที่ใช้รถยนต์ราคาแพง
๒.คนที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าราคาแพง คนที่ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ราคาแพงเป็นคนมีคุณค่า
กรณีเช่นนี้ก็ไม่จริงเสมอไป แนวคิดก็จะคล้ายคลึงกับข้อ๑. ที่ว่าเป็นการเชื่อมโยงจากวัตถุที่มีไปสู่จำนวนเงินที่หามาได้ ซึ่งถ้าหาเงินมาด้วยวิธีที่สุจริต ก็นับว่าเป็นการบริหารค่าใช้จ่ายที่ไม่เหมาะสม เพราะเสื้อผ้าที่มีคุณภาพนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นยี่ห้อที่หรูหรา หรือราคาแพงเสมอไป ส่วนโทรศัพท์เคลื่อนที่ราคาแพงนั้นคงขึ้นอยู่กับเหตุผลในการใช้งานว่า จำเป็นต้องใช้เพื่อธุระโทรออก หรือรับสายเท่านั้น หรือจำเป็นต้องใช้งานที่มากกว่านั้น เช่น ถ่ายรูป อินเตอร์เน็ต ส่งอีเมล บันทึกเสียง ฟังเพลง เป็นต้น
๓.คนที่พูดเก่ง หรือพูดดีเป็นคนที่มีคุณภาพ เรามักพบแนวคิดแบบนี้ได้บ่อย เห็นได้จากในวงการ"การเมือง"ที่ผู้คนส่วนใหญ่นิยมชมชอบนักการเมืองที่พูดเก่ง โดยคิดเอาเองว่า คนที่มีความคิดดีจะเป็นคนที่พูดเก่ง ซึ่งไม่จริงเสมอไป คนที่มีความคิดดีไม่จำเป็นต้องพูดเก่ง ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆมากมาย เช่น นิสัยใจคอ บุคลิกภาพ ทัศนคติ เป็นต้น
คุณภาพของคนนั้น วัดได้จากผลงานซึ่งเกิดจาก"การกระทำ" ซึ่งเป็นผลผลิตจาก"ความคิด" มากกว่า"น้ำลาย" ซึ่งเป็นเพียงเปลือกนอกอันเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพภายนอกเท่านั้น
๔.คนที่ไปเรียนที่สถาบันการศึกษาในต่างประเทศเป็นคนมีคุณภาพมากกว่าคนที่เรียนในประเทศไทย แนวคิดนี้เป็นจริงแค่ส่วนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนน้อย มีหลายคนอ้างเหตุผลว่า...
๔.๑.หลักสูตรของสถาบันการศึกษาในต่างประเทศได้มาตรฐานมากกว่าในประเทศไทย
๔.๒.การศึกษาในต่างประเทศช่วยให้เก่งภาษาต่างประเทศมากกว่าในประเทศไทย
๔.๓.การศึกษาในต่างประเทศช่วยให้รู้จักรับผิดชอบในชีวิตของตัวเองมากกว่า
จะเห็นว่า การที่คุณจะได้มาซึ่ง ๓ ข้อนี้นั้น คุณไม่จำเป็นต้องไปศึกษาที่ต่างประเทศ และคนที่ไปต่างประเทศก็ไม่ได้ครบทั้ง ๓ ข้อนี้เสมอไป เรื่องนี้มักขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบของผู้เรียนมากกว่า ที่สำคัญกว่านั้นคือ ตอนนี้ คนไทยกำลังหลับหูหลับตาเรียนตามหลักวิชาการของต่างประเทศล้วนๆ โดยไม่ทันคิดว่า ประเทศไทยก็มีภูมิปัญญาตะวันออก และภูมิปัญญาท้องถิ่นซึ่งน่าจะเข้ากันได้กับประเทศไทยมากกว่าที่จะไปเลียนแบบชาติตะวันตกมาทั้งหมด
๕.คนที่เรียนหนังสือเก่งจะประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่าคนที่เรียนไม่เก่ง ในประเด็นนี้ ขึ้นอยู่กับว่า จะให้คำนิยามของคำว่า"ความสำเร็จ"ว่าอย่างไร ถ้าความสำเร็จหมายถึง เงินและทรัพย์สินแล้ว คนเรียนเก่งอาจได้ตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดี มีเงินเดือนสูง ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นความสำเร็จแบบหนึ่ง แต่อย่าลืมว่า มีคนที่เรียนไม่จบการศึกษาภาคบังคับ แต่ได้ทำธุรกิจบางประเภทอย่างมุ่งมั่นจนธุรกิจเติบโตกลายเป็นธุรกิจร้อยล้านจนถึงพันล้านหมื่นล้าน ซึ่งก็มีตัวอย่างให้เห็นมากมายแล้ว
นอกจากนั้นแล้ว ถ้าเราให้คำนิยามความสำเร็จว่าหมายถึง การมีชีวิตที่มีความสุขแล้ว เราคงจะต้องเอ่ยถึงคำทั้ง ๓ คำนี้กันสักหน่อย ดังนี้
1. I.Q.(Intelligent Quotient)
2. E.Q.(Emotional Quotient)
3. M.Q.(Moral Quotient)
ซึ่งทั้ง ๓ คำนี้เป็นส่วนหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญมากในการประเมินว่า คนแต่ละคนจะประสบความสำเร็จในชีวิตมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะ E.Q.และ M.Q.นั้นดูจะมีอิทธิพลต่อความสำเร็จมากกว่า I.Q. ซึ่งจะเห็นได้จากตัวอย่างผู้ประสบความล้มเหลวในชีวิตหลายต่อหลายคนนั้นมีประวัติเคยเป็นคนเรียนเก่งมาก่อน
๖.ผู้ที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงเป็นคนที่มีคุณค่า นั่นเป็นแนวคิดที่เกิดจากการมองสิ่งต่างๆแบบแยกส่วน กระแสหลักที่เกิดขึ้นชัดเจนในขณะนี้คือ การใช้คอมพิวเตอร์ รถยนต์ โทรศัพท์เคลื่อนที่(โดยเฉพาะแบบสมาร์ทโฟน) ตลอดจนเครื่องมือทางการแพทย์อันทันสมัย เช่น CT SCAN,MRI เป็นต้น ซึ่งเราไม่ควรไปภาคภูมิใจกับสิ่งเหล่านี้มากนัก เพราะสิ่งที่เราใช้อยู่นั้น ไม่ได้เกิดจากมันสมองของคนไทยเลย เราเอาของเขามาใช้ทั้งนั้น เราไม่คิดค้นเทคโนโลยี แต่กลับสนุกสนานในการใช้เทคโนโลยีที่คนอื่นเขาคิดขึ้นมาอย่างไม่ได้ไตร่ตรอง หรือใช้วิจารณญาณอย่างเหมาะสม มันไม่น่าภูมิใจหรอกครับ
๗.ยิ่งมีเงินหรือทรัพย์สินมาก ก็ยิ่งมีความสุขมาก คนส่วนใหญ่ต้องการมีเงินทองทรัพย์สินมากๆ เพื่อจะได้ซื้อของทุกอย่างที่อยากได้ แต่ถ้าสังเกตุให้ดีแล้ว จะเห็นว่าความต้องการของมนุษย์เราไม่มีที่สิ้นสุด เพราะเมื่อเราได้ในสิ่งที่อยากได้สักอย่างหนึ่งแล้ว เราก็จะมีสิ่งใหม่ที่อยากได้เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ถึงจะรวยล้นฟ้า แต่เงินก็ไม่สามารถซื้อทุกอย่างได้ โดยเฉพาะซื้อ"ใจคน"
ดังนั้น ถ้าเราไม่ลดความอยากลงบ้าง รับรองว่าไม่มีวันพบกับ"ความสุขที่แท้จริง"ได้ อย่าคิดว่าคนจนจะทุกข์ทรมานมากกว่าคนรวยเสมอไป เพราะคนรวยมักจะชอบสนองความอยากของตนจนเคยตัว ทำให้ขาดภูมิคุ้มกันทางจิตใจ โดยเฉพาะเมื่อพบว่า เงินไม่สามารถซื้อทุกสิ่งทุกอย่างได้ ก็จะเกิดภาวะสะเทือนใจอย่างรุนแรง จนทำให้ตัดสินใจทำสิ่งร้ายแรงบางอย่างได้ เช่น ฆ่าตัวตาย ฆ่าคนตาย เป็นต้น
๘.คนที่มีทัศนคติและการกระทำสอดคล้องกับคนส่วนใหญ่ในสังคม ถือว่าเป็นผู้มีคุณค่า เนื่องจากประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แนวคิดนี้จึงค่อนข้างมีอิทธิพลสูง และเมื่อมองลงไปในเบื้องลึกของจิตใจมนุษย์แล้ว มนุษย์เป็นสัตว์สังคม และมีความกลัวต่อการอยู่โดดเดี่ยว ดังนั้น มนุษย์จึงต้องไขว่ขว้าหาสิ่งยึดเหนี่ยวให้ตัวเองด้วยการพยายามเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของคนกลุ่มใหญ่ ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกมั่นคงในจิตใจ รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า และเป็นที่ยอมรับของคนกลุ่มใหญ่
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากมากที่จะได้พบคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆอันเป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ การพัฒนาจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า และเต็มไปด้วยการเอาของคนอื่นมาใช้เสียเป็นส่วนใหญ่
๙.สิ่งที่เรามองเห็น คือ สิ่งที่เป็นเช่นนั้นจริงๆ แนวคิดแบบนี้ไม่เป็นจริงเสมอไป แต่คนส่วนใหญ่มักจะเชื่อสายตาตัวเองเสียเหลือเกิน จะขอยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่สนับสนุนว่า เราไม่ควรเชื่อสายตาตัวเองเสมอไป คือ "แบบจำลองอะตอมกลุ่มหมอก" ซึ่งเป็นตัวอย่างสนับสนุนที่ดีว่า สิ่งของที่เราเห็นว่ามันวางอยู่นิ่งๆของมันอย่างนั้น และคงรูปร่างอยู่ได้อย่างนั้น แท้จริงแล้ว กลับไร้ซึ่งความเสถียรโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นท่อนไม้ที่ตกอยู่ตามข้างถนน หรือรถยนต์ราคา ๒๐ กว่าล้านบาทก็ตาม ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่จิรังยั่งยืน และมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาด้วยซ้ำ เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนสอดคล้องกับกฎแห่งไตรลักษณ์(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)ได้เป็นอย่างดี และจากประวัติศาสตร์ของโครงสร้างอะตอมในอดีตจนถึงปัจจุบัน สสารประกอบด้วยอะตอม โดยในอะตอมมีนิวเคลียสซึ่งมีอิเลคตรอนวิ่งวนอยู่รอบๆ เหตุการณ์นี้แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงในตำแหน่งของอิเลคตรอนในทุกขณะเวลา และในยุคต่อมา แบบจำลองอะตอมกลุ่มหมอกยิ่งตอกย้ำความไม่แน่นอน(เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา)มากยิ่งขึ้นไปอีกด้วยการกล่าวถึงความน่าจะเป็นของตำแหน่งของอนุภาคในตำแหน่งต่างๆภายในอะตอม โดยที่อะตอมเป็นองค์ประกอบย่อยของทุกสิ่งในโลก ซึ่งทำให้กล่าวได้ว่า สรรพสิ่งในโลกล้วนเปลี่ยนแปลง แต่ทว่ามนุษย์กลับไปสนใจแต่เฉพาะการเปลี่ยนแปลงหยาบๆ เช่น เมื่อพบว่ารถยนต์ของตัวเองถูกชนบุบเล็กน้อย ก็มัวแต่มานั่งเสียอกเสียใจอยู่หลายวัน โดยหารู้ไม่ว่า จริงๆแล้ว รถคันนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกเสี้ยววินาที อย่างนี้เป็นต้น
๑๐.ทุกสิ่งทุกอย่างมีความแตกต่างกัน ไม่เกี่ยวข้องกัน และไม่มีผลกระทบต่อกัน แนวคิดนี้ไม่จริงเสมอไป ด้วยเหตุผลสนับสนุน ๒ ประการ ดังนี้
๑.จากทฤษฎีที่กล่าวว่า จักรวาลเกิดจากการระเบิดครั้งใหญ่ของจุดเล็กๆซึ่งมีความหนาแน่นสูงมากๆหรือที่เรียกว่า "บิกแบง" จากเหตุการณ์นี้ เราสามารถกล่าวได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในจักรวาล ล้วนกำเนิดจากวัตถุธาตุชนิดเดียวกันที่อยู่ในจุดเล็กๆดังกล่าวก่อนที่จะเกิด"บิกแบง" จึงอนุมานต่อไปได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมนุษย์นั้น ล้วนเคยอยู่ในจุดเล็กๆดังกล่าวแล้วทั้งสิ้น ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมนุษย์และจักรวาลล้วนเป็นวัตถุธาตุชนิดเดียวกันทั้งสิ้น
๒.อะตอมประกอบด้วยอนุภาคโปรตอน นิวตรอน อิเลคตรอน และอนุภาคอื่นๆที่เพิ่งถูกค้นพบในภายหลัง ซึ่งทุกสิ่งในจักรวาลล้วนประกอบด้วยอนุภาคย่อยคือ อะตอม เหมือนกัน
๑๑.มีคนจำนวนมากที่ทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมเท่านั้น คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า มีคนเป็นจำนวนมากในโลกที่มีจิตใจงดงาม และตั้งมั่นในการเสียสละเพื่อส่วนรวมเป็นหลัก แต่ในความเป็นจริงนั้น มนุษย์มีความปรารถนาอยู่ลึกๆในจิตใจในการที่จะทำให้ตนเองเป็นผู้ที่มีคุณค่าเหนือผู้อื่น ซึ่งการแสดงออกเพื่อตอบสนองต่อความต้องการดังกล่าวนั้น เป็นไปได้ ๒ รูปแบบ คือ
๑.ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวอย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งถือว่าเป็น"คนเห็นแก่ตัว"
๒.ทำทุกสิ่งทุกอย่าง(หรือบางสิ่งบางอย่าง) เพื่อแสดงให้เห็นว่า ตนเป็นผู้เสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม(โดยที่ไม่ได้สนใจในผลประโยชน์ส่วนรวมอย่างแท้จริง) บุคคลเหล่านี้ต้องการได้รับความนิยมชมชอบจากคนในสังคม เพื่อให้เกิดความรู้สึกว่า ตนเองมีคุณค่ามากขึ้น ซึ่งเมื่อเราพิจารณาอย่างลึกซึ้งแล้ว ความคิดแบบนี้ถือว่าเป็นผลประโยชน์ส่วนตนแบบหนึ่ง
จากเนื้อหาทั้ง ๑๑ ข้อที่ผ่านตาท่านไปแล้วนั้น อาจพอจะไปกระตุ้นเตือนใครบางคนทีเผลอใจ หลงใหลไปกับความคิดโดยไม่ทันได้สังเกตจิตใจตัวเองให้ละเอียดถี่ถ้วน ขอเพียงแค่ตั้งใจมองให้ลึกซึ้งกว่าที่เคย ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้วครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)