วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2554

สักวันหนึ่ง...อาจจะถึงวันนั้น

     ในแผ่นดินที่มีชื่อว่า "ประเทศไทย" นั้น   ทุกสิ่งทุกอย่างไม่แน่นอน   และคาดเดาได้ยาก   อะไรๆก็เกิดขึ้นได้   อย่างน้อย...อดีตและปัจจุบันก็เป็นตัวบ่งบอกอนาคตได้   เราลองมาดูกันว่า   เหตุการณ์ใดบ้างที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตของสยามประเทศแห่งนี้...
     ๑. หนุ่มสาวอายุไม่เกิน ๒๕ ปีทุกคนในประเทศไทย   มีตำแหน่งชนะเลิศ หรือรองชนะเลิศจากการประกวดนางแบบ   นายแบบ   หรือนางงาม   ในงานประกวดต่างๆนับหมื่นงานที่จัดโดยองค์กรต่างๆทั่วประเทศ
     ๒. โทรศัพท์เคลื่อนที่ขายไม่ออกอีกเลยแม้แต่เครื่องเดียว   เพราะคนไทยทั้งประเทศมีโทรศัพท์เคลื่อนที่กันทุกคน   และมีคนละอย่างน้อย ๕ เครื่อง
     ๓. มีรถยนต์นั่งส่วนบุคคลจำหน่ายเพียงแค่ ๓ ยี่ห้อในประเทศไทย
     ๔. มีบริษัทค่ายเพลงเหลือแค่ ๒ ค่ายในประเทศไทย
     ๕. ประเทศไทยมีจำนวนพรรคการเมืองทั้งหมดประมาณหนึ่งพันกว่าพรรค
     ๖. นักการเมืองหลายคนถูกโดดเดี่ยว   เนื่องจากย้ายไปเข้าสังกัดพรรคการเมืองจนครบทุกพรรคในประเทศไทย   และไม่มีพรรคการเมืองใดเหลือให้เข้าไปอยู่อีกแล้ว
     ๗. นักธุรกิจผู้จำหน่ายสินค้าในระบบขายตรง   ไม่สามารถจำหน่ายสินค้าให้กับลูกค้าคนใดได้อีกเลย   เพราะคนไทยทุกคนในประเทศได้สมัครเป็นผู้จำหน่ายของบริษัทขายตรงกันหมดแล้ว
     ๘. มีสถาบันกวดวิชาให้เด็กอายุ ๑ เดือน ถึง ๑ ปี   เพื่อเตรียมตัวสอบเข้าเรียนในชั้นเรียนเตรียมอนุบาล
     ๙. มีการจัดพิธีสมรสหมู่กันที่ดาวอังคาร
     ๑๐.รัฐบาลต้องจัดตั้งโรงพยาบาลจิตเวชสำหรับเด็กและวัยรุ่น   อย่างน้อยอำเภอละ ๑ แห่ง   เนื่องจากเด็กและวัยรุ่นถูกพ่อแม่ยัดเยียดให้เรียนวิชาเสริมมากเกินไปจนเสียสติ และเป็นบ้ากันไปหลายแสนคน
     ๑๑.นิตยสารฉบับหนึ่งได้จัดอันดับบุคคลที่รวยที่สุดในประเทศไทย ๑๐ อันดับแรก   ปรากฏว่า   ๘ ใน ๑๐ คนดังกล่าว มีอาชีพเป็นอาจารย์สถาบันสอนพิเศษ   หมอนวด   และนักการเมือง
     ๑๒.ก๋วยเตี๋ยวเรือราคาชามละ ๒,๐๐๐ บาท
     ๑๓.ไม่เหลือพื้นที่ป่าไม้ในประเทศไทย
     ๑๔.น้ำท่วมถึงยอดภูกระดึง
     ๑๕.ธุรกิจท่องเที่ยวในต่างดาวได้รับความนิยมมาก   เพราะคนไทยเบื่อหน่ายการท่องเที่ยวในโลกมนุษย์เสียแล้ว
     ๑๖.องค์การท่องเที่ยวแห่งโลก   ต้องออกมารณรงค์ให้มนุษย์โลกกลับมาให้ความสนใจการท่องเที่ยวในโลกมนุษย์บ้าง
     ๑๗.๙๗เปอร์เซนต์ของพื้นที่ในประเทศไทย   คือ   ถนนสำหรับรถยนต์
     ๑๘.รถจักรยานยนต์ขายไม่ออกอีกเลยแม้แต่คันเดียว   เพราะผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ได้ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และพิการไปจนหมดแล้ว
     ๑๙.ประเทศไทยเร่งผลิตเจ้าหน้าที่ตำรวจจรราจรเพิ่มอีก ๒ ล้านนาย   เพื่อควบคุมการจราจรบริเวณปากซอย   และทางแยกทุกแห่งในประเทศไทย
     ๒๐.เด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาประมาณ ๙๕ เปอร์เซนต์   สะกดคำว่า "คุณธรรม" ไม่ถูกต้อง   และไม่รู้ความหมายของคำนี้
     ๒๑.คนไทยประมาณ ๙๘ เปอร์เซนต์   ไม่รู้จักสัตว์ที่มีชื่อว่า "ช้าง"   และ "พะยูน"
     ๒๒.เด็กอายุ ๓ ถึง ๑๕ ปีทุกคนในประเทศไทยมีอาชีพที่ตนเองใฝ่ฝันอยู่แค่ ๒ อย่าง   คือ   ดารานักร้อง   และ   แอร์โฮสเตส
     ๒๓.เหล่าประชาชนกลุ่มไฮโซฯ ได้ส่งลูกหลานไปเรียนต่อในโรงเรียน และมหาวิทยาลัยในต่างดาวกันมากขึ้น   โดยเฉพาะในดาวอังคาร
     ๒๔.ทบวงมหาวิทยาลัยต้องว่าจ้างนักโทรจิตระดับมืออาชีพ   เพื่อมาตรวจจับคลื่นกระแสจิตตามสถานที่สอบเอนทรานซ์ทุกแห่ง   เนื่องจากผู้ทุจริตในการสอบได้ใช้วิธีบอกคำตอบของข้อสอบผ่านทางกระแสจิต
     ๒๕.อาชีพแพทย์ได้สูญพันธุ์ไปจากประเทศไทย   เพราะแพทย์ทุกคนได้ถูกฟ้องร้องจนล้มละลายกันไปหมดแล้ว
     ๒๖.ตัวแทนขายประกันชีวิตทุกคนล้วนตกงานกันหมด   เนื่องจากคนไทยทุกคนได้ทำประกันชีวิตไปแล้วคนละ ๑๐ กรมธรรม์เป็นอย่างน้อย
     ๒๗.ห้างสรรพสินค้าทุกแห่งเก็บค่าบริการจอดรถในอัตราชั่วโมงละ   ๑,๐๐๐ ถึง ๑๐,๐๐๐ บาท
     ๒๘.รัฐบาลกำหนดให้ทุกหมู่บ้านต้องมีบ้านพักคนชราอย่างน้อย ๒ แห่ง
     ๒๙.นักบินอวกาศลูกครึ่งไทย-อเมริกันคนแรก   ได้รับเชิญจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศไทย   ให้มารับปริญญาวิศวกรรมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์
     ๓๐.รัฐบาลไทยต้องกู้เงินจากสถาบันการเงินที่อยู่นอกโลก   เพื่อมาชำระหนี้แก่สถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ในโลก
     ๓๑.ออกซิเจนอัดกระป๋อง   เป็นสินค้าอุปโภคบริโภคที่มียอดขายสูงที่สุด
     ๓๒.มีชุดทดสอบการติดเชื้อไวรัสโรคเอดส์   จำหน่ายตามร้านขายยาทั่วไป   และหาซื้อได้ง่ายเหมือนชุดทดสอบการตั้งครรภ์
     ๓๓.พระราชบัญญัติการจราจรทางบกฉบับใหม่   ได้กำหนดโทษผู้ขับขี่รถยนต์ที่ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย   และผู้ขับขี่จักรยานยนต์โดยไม่สวมหมวกนิรภัย   ให้มีโทษต่ำสุด คือ จำคุกตลอดชีวิต   และโทษสูงสุด คือ ประหารชีวิต ๗ ชั่วโคตร
     ๓๔.แบบสอบถามของสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง   ได้เปิดเผยข้อมูลว่า   อายุต่ำสุดของคนไทยที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก   คือ   ๕ ปี
     ๓๕.รัฐบาล และองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นของทุกจังหวัดในประเทศไทยไม่สามารถดำเนินโครงการประจำปีตามแผนที่วางไว้ได้เลย   เพราะต้องทุมเทกำลังคนและเวลาของหน่วยงานทั้งหมดไปกับการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากภัยธรรมชาติซึ่งเกิดขึ้นทุกสัปดาห์ในทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทย
     ๓๖."ชุดถุงยังชีพ"   เป็นสินค้าที่ขายดีที่สุดในร้านสะดวกซื้อทุกแห่งในประเทศไทย
     ๓๗.บริษัทรถยนต์อย่างน้อย ๓ แห่งในประเทศไทยได้เปิดตัวรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่สามารถแล่นในน้ำได้   ในงานมอเตอร์โชว์ครั้งล่าสุด
     ๓๘.ดีวีดี เดี่ยวไมโครโฟน ครั้งที่ ๙๙ ของอุดม แต้พานิช เริ่มมีวางจำหน่ายที่ร้านสะดวกซื้อทุกแห่งทั่วประเทศ
     ๓๙.บริษัทโทรศัพท์มือถือแห่งหนึ่งในประเทศไทยได้เปิดตัวโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดที่สามารถถ่ายรูป,ถ่ายวีดีโอ,เล่นอินเตอร์เน็ต,ดูหนัง,ฟังเพลง,ทำกับข้าว,ซักผ้า,รีดผ้า,ตัดผม,ล้างจาน,กวาดบ้าน,เลี้ยงเด็ก,ล้างห้องน้ำ,พาสุนัขไปเดินเล่น,........................................,และแปลงร่างเป็นรถยนต์ได้...
     ๔๐.ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้แล้วละก็   ขออะไรสักอย่างนะจ๊ะ...อย่าซีเรียส...
   

วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554

หนังก็คือหนัง...วันยังค่ำ

      สวัสดีครับ   ท่านผู้อ่านทุกท่าน   คงไม่มีใครปฏิเสธว่า   การดูหนังหรือภาพยนตร์นั้นเป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมของคนส่วนใหญ่   เนื่องจากเป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย   ไม่เสียค่าใช้จ่ายมากเกินไป   แถมยังสนุกและมัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการอยู่แล้ว   สำหรับท่านที่ดูหนังมากๆ และสม่ำเสมอ คงจะเริ่มสังเกตุเห็นบางสิ่งบางอย่างที่หนังยอดนิยมมีร่วมกัน   โดยที่ปัจจัยบางอย่างก็ขึ้นอยู่กับยุคสมัยด้วย
     เอาละครับ...เรามาดูกันเลยดีกว่าว่าหนังยอดนิยมทั้งหลาย มีสิ่งที่เหมือนกันอย่างไรบ้าง   ซึ่งผมคิดว่าถ้าหนังขาดเอกลักษณ์เหล่านี้ไปแล้ว   ก็อาจจะทำให้ดูไม่ค่อยเหมือน"หนัง"สักเท่าไหร่   อย่างไรก็ตาม   ถ้าหนังเหล่านี้มีความเป็น"หนัง"มากเกินไปแล้ว   ก็คงจะทำให้น่าเบื่อหน่ายได้เหมือนกัน
     ๑. พระเอกกับนางเอกมักจะมีฐานะแตกต่างกัน   เช่น   พระเอกเป็นลูกชายประธานบริษัท   และนางเอกมาสมัครงานเป็นลูกจ้างบริษัท   เป็นต้น(หนังไทย)
     ๒. ถ้าเป็นหนังที่พระเอกมีฐานะต่ำต้อย   และมารู้จักกับนางเอก   แล้วในฉากสุดท้ายของเรื่อง   พระเอกมักจะเปิดเผยตัวจริง ว่าตนเองเป็นตำรวจปลอมตัวมา   และมักจะมียศอย่างต่ำเป็นร้อยตำรวจตรีขึ้นไป(หนังไทย)
     ๓. หนังมักจะเริ่มต้นด้วยการที่นางเอกและพระเอกไม่ชอบหน้ากัน   และจบลงด้วยการหลงรักและแต่งงานอยู่ร่ำไป(หนังไทยและฝรั่ง)
     ๔. ในฉากการต่อสู้ในตอนท้ายๆของเรื่อง   ไม่ว่าพระเอกกับผู้ร้ายจะมีอาวุธในมือกันมากมายเพียงใดก็ตาม   แต่ในที่สุดก็จะทิ้งอาวุธทั้งหมด   และใช้มือเปล่าเข้าต่อสู้ตะลุมบอนกันทุกที   โดยไม่ทราบสาเหตุว่า   โยนอาวุธทิ้งไปทำไม?(หนังทุกประเทศ)
     ๕. หัวหน้าผู้ร้ายมักจะตายยากกว่าลูกน้อง   และมักจะตายหลังลูกน้องคนอื่นๆ   ซึ่งจริงๆแล้ว   ในบางครั้ง   การต่อสู้กันด้วยปืนในช่วงชุลมุนนั้น   หัวหน้าผู้ร้ายอาจถูกลูกหลงและตายไปก่อนที่ลูกน้องจะตายกันหมดก็เป็นได้   แต่ก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน   และหัวหน้าผู้ร้ายมักจะถูกพระเอกยิงหลายนัด   ถึงจะยอมตายกันได้   ไม่รู้ว่าจะหนังเหนียวไปถึงไหน(หนังทุกประเทศ)
     ๖. ถ้าเป็นเรื่องของคดีฆาตกรรมที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน   ซึ่งเรามักจะคาดเดาลำบากว่า   ใครคือฆาตกรตัวจริงกันแน่   แต่แล้ว...เมื่อถึงช่วงสถานการณ์สุกงอมเข้าขั้นวิกฤต   ฆาตกรก็มักจะออกมาสารภาพต่อหน้าพระเอก หรือนางเอกเสียเอง   แถมยังเล่าเหตุการณ์โดยละเอียดว่า   เหตุการณ์เป็นอย่างไรมาอย่างไรบ้าง   คงเป็นเพราะเกรงว่า   พระเอก หรือนางเอกจะไม่เข้าใจสิ่งที่ตนเล่า(หนังฝรั่ง)
     ๗. ผู้ร้ายในหนังมักจะประมาท   สังเกตุได้จาก   เวลาที่มีฉากยิงต่อสู้กัน   ผู้ร้ายมักจะโผล่ออกมาจากที่กำบัง   และยืนจังก้ายิงต่อสู้อย่างไม่ระมัดระวัง   ไม่ยอมนอนราบยิงอย่างที่ควรจะทำ   สุดท้ายก็เลยได้ตายสมใจ ซึ่งเป็นการตายที่ง่ายเกินไป(หนังทุกประเทศ)
     ๘. ในหนังที่มี"สัตว์ประหลาด"(รวมทั้งปีศาจและมนุษย์ต่างดาว)   พระเอก หรือนางเอกมักจะสะเพร่าเลินเล่อในการกำจัดสัตว์ประหลาดพวกนี้ให้สิ้นซากจริงๆ   ทำให้มีสัตว์ประหลาดที่ยังไม่ตายหลงเหลืออยู่เพื่อไปอาละวาดในหนังภาคต่อไป(หนังฝรั่ง)
     ๙. รสนิยมของพระเอก หรือนางเอกในเรื่องรถยนต์นั้น   จะวนเวียนอยู่แค่รถสปอร์ตเปิดประทุน กับรถขับเคลื่อนสี่ล้อ(SUV)เป็นส่วนใหญ่(หนังฝรั่ง)
     ๑๐.พระเอก หรือนางเอกมักเป็นคนไม่รักทรัพย์สมบัติของตัวเอง   ซึ่งสังเกตุได้จากเวลาลงจากรถทีไรไม่เคยล็อคประตูรถเลย(หนังฝรั่ง)
     ๑๑.ไม่ว่าสถานการณ์จะแย่เพียงใด   พระเอก หรือนางเอกก็มักจะ"รอดตัว"ได้เสมอ(หนังทุกประเทศ)
     ๑๒.ตัวละครหลายตัวมักตัดสินใจแก้ปัญหาอย่างขาดเหตุผลที่เหมาะสม   เช่น   ทีมค้นหาไดโนเสาร์ในเรื่อง THE LOST WORLD ประสบปัญหารถคอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ตกเหว   และแก้ปัญหาด้วยการเอารถMercedes Benz M-classคันเล็กๆไปพยายามลากรถคอนเทนเนอร์ขึ้นมา...สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ(หนังฝรั่ง)
     ๑๓.ในหนังผี   ตุ่มน้ำมักจะมีปริมาตรมากกว่าปกติ   สังเกตได้จากคนไม่น้อยกว่า ๑๐ คนวิ่งหนีผี(โดยเฉพาะผีปอบ)ไปลงในตุ่มใบเดียวกันได้หมด(หนังไทย)
     ๑๔.เวลาตัวละครที่แสดงเป็นสามีกลับจากที่ทำงานมาถึงบ้าน   มักมาเจอภรรยากำลังทำกับข้าวอยู่ทุกทีไป   และมักจะมีการกอดจูบกันจนถึงขั้นเต้นรำด้วยกัน   ทำให้สงสัยว่า   ภรรยาคงมัวแต่ทำกับข้าวทั้งวัน(หนังฝรั่ง)
     ๑๕.พระเอกมักจะขับขี่ยานพาหนะได้หลายอย่าง   ไม่ว่าจะเป็นจักรยาน   มอเตอร์ไซค์   รถบรรทุก   รถแทรกเตอร์   เรือยนต์   เจทสกี   เฮลิคอปเตอร์   เครื่องบินไอพ่น...จนกระทั่ง...ยานอวกาศ   ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปฝึกมาจากไหน   นอกจากนั้นยังสามารถใช้อาวุธทุกประเภท   อุปกรณ์อิเลคโทรนิคส์  และคอมพิวเตอร์ได้ชำนาญอย่างไม่มีที่ติ(หนังฝรั่ง)
     ๑๖.ตัวละครสำคัญที่รู้ความลับว่า   ผู้ร้ายคือใคร   มักจะถูกทำร้ายจนปางตาย   และก็มักจะเหลือลมหายใจรวยรินในเวลาที่พระเอก หรือนางเอกไปพบเข้า   จากนั้น   พระเอก หรือนางเอกก็จะพยายามถามว่า   ใครคือผู้ร้าย   เขาผู้นั้นก็ไม่ยอมปริปากบอกเสียที   ได้แต่ส่งเสียงอึกอักเหมือนกำลังจะขาดใจ   และสุดท้าย   เขาก็ไม่เคยบอกได้ทันเลยว่า   ใครคือผู้ร้าย   เพราะจะขาดใจตายไปก่อนทุกที(หนังทุกประเทศ)
     ๑๗.คุณหมอมักไม่ค่อยใส่ท่อช่วยหายใจในผู้ป่วยที่มีอาการหนักมาก   ส่วนใหญ่จะจัดให้แค่หน้ากากออกซิเจนเท่านั้น(หนังไทยและหนังฝรั่งบางเรื่อง)
     ๑๘.ตัวละครที่ถูกยิงมักจะมีเลือดออกทางปาก   รวมทั้งจอมยุทธ์ที่ถูกพลังฝ่ามือกระแทกบริเวณหน้าอกหรือหน้าท้องด้วย   ซึ่งชวนให้สงสัยเหมือนกันว่า   เลือดออกมาจากเส้นเลือดเส้นไหน?(หนังทุกประเทศ)
     ๑๙.พระเอกกับนางเอกมักมีรสนิยมชอบวิ่งไล่กันบนเนินเขาที่มีทุ่งหญ้า   รวมทั้งชอบวิ่งหลอกล่อกันตามต้นไม้ใหญ่(หนังอินเดีย)
     ๒๐.ไม่ว่าระบบรักษาความปลอดภัยของรังที่อยู่ของผู้ร้ายจะแน่นหนามากเพียงใดก็ตาม   พระเอกก็มักจะมีช่องทางแอบบุกเข้าไปในรังของผู้ร้ายได้สำเร็จทุกทีไป(หนังฝรั่ง)
     ๒๑.ผู้ที่แสดงเป็น"หมอ"ในสมัยก่อนมักจะ"อาวุโส"และ"อ้วนลงพุง"   แต่ในหนังยุคหลังๆมานี้   หมอมักจะดู"หนุ่มและผอม"กว่าเดิม   ก็เลยทำให้สงสัยว่า   หมออาวุโสและอ้วนไปอยู่ที่ไหนกันหมด(หนังไทย)
     ๒๒.ตัวละครในหนังมักจะมีฐานะร่ำรวยเป็นส่วนใหญ่   ซึ่งสังเกตุได้จากเวลาที่เจ็บป่วยมักจะได้นอนพักรักษาตัวที่"ห้องพิเศษ"ของโรงพยาบาลเอกชนทุกทีไป(ละครโทรทัศน์ไทย)
     ๒๓.ในหนังสมัยก่อน   บ้านพระเอก หรือนางเอกมักจะใหญ่โตเหมือนปราสาทราชวัง   และมีคนรับใช้นับสิบคน   แต่ในยุคหลังๆมานี้   บ้านมักจะมีขนาดเล็กลง   และมีคนรับใช้แค่ ๑ คน หรือไม่มีเลย(ละครโทรทัศน์ไทย)
     ๒๔.ละครมักจะมีฉากหลักอยู่แค่ ๓ ฉาก   คือ ฉากเจ้านายกินข้าว   ฉากคนรับใช้จับกลุ่มนินทาเจ้านาย   และฉากไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้า(ละครโทรทัศน์ไทย)
     ๒๕.นางเอกมักจะดื่มนมสดก่อนนอน   และมักจะดื่มน้ำส้มคั้นเวลารับประทานอาหารในร้านอาหารนอกบ้าน(ละครโทรทัศน์ไทย)  
     ๒๖.ถ้ามีฉากงานเลี้ยงสังสรรค์ใกล้สระว่ายน้ำแล้วมักจะมีคนอย่างน้อย ๑ คนพลัดตกลงไปในสระว่ายน้ำ   ซึ่งมักเป็น"ตัวอิจฉา"(ละครโทรทัศน์ไทย)
     ๒๗."ตัวอิจฉา"มักจะใจร้อน   พูดเสียงดัง   และสวยน้อยกว่านางเอก(ละครโทรทัศน์ไทย)
     ๒๘.ในการแข่งขันกีฬา   ฝ่ายพระเอก หรือนางเอกมักจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ก่อนในช่วงแรกของเกมส์  แต่ในที่สุดก็สามารถพลิกกลับมาเอาชนะได้แม้กระทั่งในนาทีสุดท้าย   จากนั้น   พระเอก หรือนางเอก หรือโคช ก็จะถูกกลุ่มนักกีฬาพากันจับโยนขึ้นลงๆด้วยความดีใจ(หนังทุกประเทศ)
     ๒๙.พระเอกมักจะยิงปืนแม่นกว่าผู้ร้าย   ในขณะที่ผู้ร้ายยิงกี่นัดๆก็ไม่ค่อยจะโดนพระเอกเลย(หนังทุกประเทศ)
     ๓๐.ในหนังประเภทเขย่าขวัญสั่นประสาท   เมื่อตัวละครที่เป็น"เหยื่อ"เดินเข้าไปในสถานที่ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกฆ่า   หนังมักจะกระตุกอารมณ์คนดูด้วยการหาคนอื่น หรือสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ฆาตรกรเข้าไปประชิดตัว"เหยื่อ"เสียก่อนพอเป็นออร์เดิฟ   เช่น   ให้เพื่อนของเหยื่อเอามือตะปบไหล่ของเหยื่อ   ให้แมวกระโดดผ่านหน้าเหยื่อ   เป็นต้น   หลังจากนั้นจะเข้าสู่ช่วงที่"เหยื่อ"จะถูกฆ่าจริงๆ(หนังฝรั่ง)
     ๓๑.เวลาที่ตัวละครในบ้านทะเลาะกันรุนแรง   ตัวละครอาวุโสที่มักแสดงเป็นพ่อแม่ของพระเอก หรือนางเอก   มักจะเกิดความเครียดอย่างรุนแรงจนกระทั่งมีอาการเจ็บหน้าอก   หรือเป็นลมหมดสติ   จนต้องถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล...ประมาณว่าโรคหัวใจกำเริบ(ละครโทรทัศน์ไทย)
     ๓๒.ในหนังมักจะมีชาวอเมริกัน-เอเชียมาร่วมแสดงเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานใหญ่ๆอย่างน้อย ๑ คน(หนังฝรั่ง)
     ๓๓.ถ้ามีเหตุการณ์วิกฤติ   เช่น   ระเบิดเวลากำลังจะระเบิด   พระเอก หรือนางเอกมักจะไม่สามารถถอดสลักระเบิดได้ภายในเวลาอันรวดเร็วนัก   แต่มักจะถอดสลักระเบิดได้สำเร็จในเวลาที่"จวนเจียน"จริงๆทุกทีไป   ซึ่งก็คือ   ไม่เกิน ๕ วินาทีก่อนระเบิด(หนังฝรั่ง)
     ๓๔.ในหนังแอคชั่นที่มีปฏิบัติการชั่วร้ายที่สำคัญ   และมีการนัดพบกันในสถานที่ลับสุดยอด   ในช่วงเวลาที่พบกันมักจะเป็นเวลาที่ฝนตกหนักทุกทีไป...ทำไมไม่รอให้ฝนหยุดก่อนก็ไม่ทราบเหมือนกัน(หนังฝรั่ง)
     ๓๕.พระเอก หรือนางเอก...รวมทั้งผู้ร้ายด้วยนั่นแหละ มักใช้รถไม่ค่อยทะนุถนอม   ออกรถเร็ว   เลี้ยวรถด้วยความเร็วสูงจนท้ายรถปัดไปปัดมา(หนังฝรั่งและจีน)
     ๓๖.พระเอกคนเดียวมักจะสู้กับผู้ร้ายได้ทั้งฝูง(หนังฝรั่งและจีน)
     ๓๗.ผีไทยมักจะมีหน้าตาที่อัปลักษณ์กว่าผีประเทศอื่นๆ   ส่วนผีสัตว์เป็นผีที่หาดูยากมากทั้งๆที่ในแต่ละวันมีสุนัขถูกรถชนตายเป็นเบือ
     ๓๘.ถ้าผู้ร้ายอยู่ใกล้หน้าต่าง   หรืออยู่ริมแม่น้ำ   แล้วถูกพระเอกยิง   ร่างกายของผู้ร้ายมักจะกระเด็นกระดอนไปไกลจนหลุดออกจากหน้าต่าง   หรือตกจากราวสะพานลงไปในแม่น้ำ(หนังทุกประเทศ)
     ๓๙.ตำรวจมักจะมาถึงที่เกิดเหตุหลังจากการต่อสู้ได้ยุติลงไปแล้ว(หนังทุกประเทศ)
     ๔๐.ตำรวจทางหลวงที่เรียกรถของผู้ร้ายให้หยุด   มักจะถูกผู้ร้ายฆ่าตายเป็นประจำ(หนังฝรั่ง)
     ๔๑.เวลาที่พระเอก หรือนางเอก หรือ"เหยื่อ"วิ่งหนีผู้ร้ายในอาคารต่างๆ   มักจะวิ่งหนีไปเจอแต่ประตูที่ล็อคไว้อยู่เรื่อยเลย   หรือพอจะหนีไปทางลิฟต์   ลิฟต์ก็ดันไม่มาสักที(หนังทุกประเทศ)
     ๔๒.เหตุการณ์สำคัญในหนังมักเกิดในอเมริกา   และวีรบุรุษที่ช่วยกู้สถานการณ์อันวิกฤติมักจะเป็นชาวอเมริกันซึ่งจะเห็นได้ชัดจากเรื่อง ID4,MARS ATTACKS เป็นต้น(หนังฮอลลีวูด)
     ๔๓.ในหนังชีวิต หรือDRAMAมักจะมีเหตุการณ์ที่พระเอก หรือนางเอกมายืนพูดคำคม หรือสุนทรพจน์ต่อหน้าฝูงชนจำนวนมากในแง่ของความเป็นธรรมในสังคม   ซึ่งมักจะเป็นฉากที่ซาบซึ้งกินใจ หรือเรียกน้ำตาผู้ชมได้มาก   และสุดท้ายก็จบลงด้วยชัยชนะของความถูกต้อง   ซึ่งจะพบฉากนี้ได้ใน A TIME TO KILL,SCENT OF A WOMEN,PATCH ADAM เป็นต้น(หนังฝรั่ง)
     ๔๔.พระเอก หรือนางเอกตายยากจริงๆ(หนังทุกประเทศ)
     ๔๕.ยังมีอีกเยอะเลย...
     ดูๆแล้ว   จะเห็นว่า   การทำภาพยนตร์ หรือหนังก็มีสูตรสำเร็จที่คล้ายคลึงกัน   ซึ่งมีทั้งสูตรสำเร็จประจำชาติ   และสูตรสำเร็จสากลที่หลายๆชาติใช้เหมือนๆกัน   สำหรับ"คนทำหนัง"ที่ต้องการให้หนัง"ขายได้"ก็คงต้องย่ำตามรอยเดิมกันต่อไปตามสูตรสำเร็จพวกนี้   แต่สำหรับคนทำหนังที่ต้องการมุมมองใหม่ๆ   ไม่ซ้ำซากจำเจ   ก็คงต้องพยายามหลีกเลี่ยงสูตรสำเร็จเหล่านี้   และคงต้องยอมเจ็บตัวกันสักหน่อยนะครับ   สวัสดีครับ

                                             -------------------------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

แผนพัฒนาตนเอง เพื่อก้าวสู่ความเป็นบุคคลร่วมสมัย

     คำแนะนำก่อนการใช้แผนฯ
     ๑. ใช้ได้เฉพาะคนไทยเท่านั้น
     ๒. บิดามารดาต้องมีส่วนร่วมในการใช้แผนด้วย สำหรับในช่วงชีวิต ๒๐ ปีแรกของบุตรธิดา
     ๓. ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย หรือเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ในกรณีที่บุคคลใดไม่ใส่ใจในการปฏิบัติตามแผนนี้   แต่ต้องยอมรับว่า  อาจถูก "ดูหมิ่น"   "ดูถูก"   "กระแนะกระแหน"   '"เหยียดหยาม"   ฯลฯ   จากผู้คนรอบข้างส่วนใหญ่ในสังคม และอาจถูกตีตราว่าเป็นพวก "แอ๊บ" (Abnormal person)ได้
     ๔. ผู้เขียนไม่แน่ใจในคุณประโยชน์อันแท้จริงของแผนนี้   คาดว่าน่าจะเป็นประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อย ในการเข้าสังคมจอมปลอมอย่างเช่นสังคมไทยในปัจจุบัน (โดยเฉพาะในกลุ่มพวกไฮโซไซตี้)
     ๕. เป็นตัวคุณเองนั่นแหละ.....ดีที่สุด
     ๖. กิ้งก่าเปลี่ยนสีได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น
     ๗.กิ้งก่าเปลี่ยนสีช่วยหลอกศัตรู   แต่มนุษย์เปลี่ยนสี ทำได้แค่ "หลอกตัวเอง" เท่านั้น


     สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านทุกท่าน   ในครั้งนี้   ผมมี "แผน" ที่น่าสนใจมาเสนอต่อท่านเป็นแผนที่มีประโยชน์ไม่มากก็น้อย   ก่อนอื่นนั้น   ท่านควรต้องรู้จักคำว่า "กระแส" และ "ร่วมสมัย" เสียก่อน
     "กระแส" มีความสำคัญมากในสังคมไทย   เพราะการปฏิบัติตัว "ตามกระแส" จะทำให้ท่านเป็นที่ยอมรับในสังคม  เพราะการ "ตามกระแส" เป็นการกระทำของ "ชนกลุ่มใหญ่" ในสังคม   แต่ถ้าท่านปฏิบัติตัว "ทวนกระแส" แล้ว   ท่านก็อาจจะดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยความยากลำบากมากยิ่งขึ้น
     ส่วนการเป็นบุคคลร่วมสมัย  หมายถึง   การปฏิบัติตัวได้กลมกลืนกับผู้คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในยุคสมัยนั้น   ดังนั้น   อาจกล่าวได้ว่า   คำว่า "ร่วมสมัย" นั้นใกล้เคียงกับคำว่า "ตามกระแส" มาก   เราลองมาดูกันว่า   ควรปฏิบัติตัวอย่างไร   จึงจะได้ชื่อว่าเป็น "บุคคลร่วมสมัย"

     หมวดที่ ๑.   ข้อปฏิบัติสำหรับบิดามารดา เพื่อให้บุตรธิดาเป็นบุคคลร่วมสมัย
     ๑.๑. คลอดบุตรโดยการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องที่โรงพยาบาลเอกชน
     ๑.๒. ให้ลูกดื่มน้ำนมแม่น้อยๆ   และดื่มนมผสมมากๆ 
     ๑.๓. จ้างพี่เลี้ยงเด็กมาเลี้ยงลูก   และให้เวลาในการเลี้ยงลูกตัวเองน้อยกว่าพี่เลี้ยง
     ๑.๔. ให้ลูกเรียนพิเศษก่อนเข้าโรงเรียนอนุบาล
     ๑.๕. เลือกโรงเรียนอนุบาลที่มีชื่อเสียงระดับประเทศให้ลูกเข้าเรียน
     ๑.๖. เริ่มฝึกให้ลูกเล่นกีฬาในช่วงก่อนอายุ ๕ ปี เฉพาะประเภทต่อไปนี้
             ก.ว่ายน้ำ
             ข.เทนนิส
     ๑.๗. เริ่มฝึกให้ลูกเรียนดนตรีหรือการแสดงในช่วงก่อนอายุ ๕ ปี เฉพาะประเภทต่อไปนี้
             ก. เปียนโน
             ข. อิเลคโทน
             ค. บัลเลต์
     ๑.๘. บำรุงบำเรอลูกด้วยของเล่นราคาแพง
     ๑.๙. ให้ลูกเรียนพิเศษก่อนเข้าโรงเรียนระดับประถมศึกษา
     ๑.๑๐.เลือกโรงเรียนระดับประถมศึกษาที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ ให้ลูกเข้าเรียน และยิ่งถ้าเป็นโรงเรียนนานาชาติได้ก็ยิ่งดี
     ๑.๑๑.เริ่มฝึกให้ลูกเล่นกีฬาในช่วงอายุ ๕-๑๕ ปี เฉพาะประเภทต่อไปนี้
               ก. ขี่ม้า
               ข. กอล์ฟ
               ค. เจทสกี
     ๑.๑๒.ให้ลูกเรียนพิเศษก่อนเข้าโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา
     ๑.๑๓.เลือกโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาที่มีชื่อเสียงระดับประเทศให้ลูกเข้าเรียน และยิ่งถ้าเป็นโรงเรียนนานาชาติได้ก็ยิ่งดี
     ๑.๑๔.ถ้าไม่เลือกข้อ ๑.๑๓.แล้ว   ก็ต้องส่งลูกไปเรียนต่อต่างประเทศในระดับ high school โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา   อังกฤษ   หรือ ออสเตรเลีย
     ๑.๑๕.ให้ลูกเรียนพิเศษก่อนเข้ามหาวิทยาลัย
     ๑.๑๖.เลือกมหาวิทยาลัยปิดที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ   และคณะที่เป็นที่นิยมให้ลูกเข้าเรียน
     ๑.๑๗.ถ้าเลือกมหาวิทยาลัยเอกชน   ให้เลือกเฉพาะมหาวิทยาลัยกรุงเทพ   มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย   มหาวิทยาลัยรังสิต   และมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต
     ๑.๑๘.ถ้าไม่เลือกข้อ ๑.๑๖. หรือ ๑.๑๗.แล้ว   ก็ต้องส่งลูกไปเรียนในมหาวิทยาลัยต่างประเทศ และพยายามประกาศให้คนอื่นรู้ด่วยว่า   ลูกตัวเองไปเรียนต่างประเทศแล้ว

     หมวดที่ ๒   ข้อปฏิบัติสำหรับบุตรธิดา เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
     ๒.๑. เลือกเรียนคณะนิเทศศาสตร์   อักษรศาสตร์   บริหารธุรกิจ   และถ้าเป็นหลักสูตรนานาชาติแล้ว จะดีมาก
     ๒.๒. ถ้าผู้ใหญ่ถามเกี่ยวกับการเลือกสาขาที่เรียน   ก็ต้องตอบว่า   เลือกสาขาด้วยตัวเองเสมอ   ไม่ได้เลือกตามที่พ่อแม่ขอ หรือสั่งให้เลือก
     ๒.๓. เลือกเรียนสาขาที่ทำเงินได้มาก   แต่เป็นงานที่สบาย
     ๒.๔. เลือกใช้รถยนต์ส่วนตัวเฉพาะยี่ห้อ BMW, HONDA และ TOYOTA
     ๒.๕. ผู้หญิงต้องใส่ชุดนักศึษาเป็นเสื้อรัดรูปแขนสั้นๆ   กระโปรงรัดรูปสั้นเหนือเข่า ย้อมผมสีอื่นที่ไม่ใช่สีดำ   ไม่ใส่แว่นตา   ใช้เลนส์สัมผัส หรือไม่ก็ทำเลสิกไปเลย  ใส่รองเท้าส้นตึก หรือรองเท้าแตะพื้นบางๆ   มือขวา หรือไหล่ขวาให้ถือ หรือสะพายกระเป๋าใบละ ๓๐,๐๐๐ บาทขึ้นไป   มือซ้ายถือโทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุด   และพยายามใช้โทรศัพท์ในบริเวณที่มีคนพลุกพล่านให้มากที่สุด   ยิ่งเดินไปด้วยคุยโทรศัพท์ไปด้วยแล้ว จะเท่สุดสุด    และขอย้ำว่า  ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างต้องแบรนด์เนมเท่านั้น
     ๒.๖. ผู้ชายต้องใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว   กางเกงสแลคเนื้อผ้าและลายเท่ๆ   รองเท้าคัตชูขัดมัน   และนาฬิกาแบบสปอร์ต   เสื้อผ้าให้ใช้แบรนด์แนมทุกชิ้น
     ๒.๗. ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบสมาร์ทโฟน   และพยายามใช้โทรศัพท์ในที่ที่มีคนพลุกพล่าน
     ๒.๘. ต้องขับรถยนต์ให้เป็น   โดยที่แก้ปัญหาเกี่ยวกับรถไม่เป็นเลยก็ไม่เป็นไร   และไม่ควรขี่จักรยานเป็น
     ๒.๙. เลือกฟังเพลงไทยเฉพาะของค่ายแกรมมี่   และอาเอสโปรโมชั่นเท่านั้น   ส่วนเพลงสากล   ให้ฟังเฉพาะอัลบั้มรวมฮิตทั้งหลาย,LADY GAGA, TAYLOR SWIFT,BRITNEY SPEAR,ERIC CLAPTON,THE EAGLE   และวงบอยแบนด์ของเกาหลี
     ๒.๑๐.ดูภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์เฉพาะเรื่องที่คนส่วนใหญ่เขาดูกันในแต่ละช่วงเวลา
     ๒.๑๑.เวลามีนัดกับเพื่อนๆ   ให้นัดกันที่สยามสแควร์  สยามเซ็นเตอร์   หรือสยามพารากอน   และไม่ควรไปตรงเวลา(ให้ไปสายเสมอ)
     ๒.๑๒.เลือกชอปปิ้งเฉพาะสถานที่ต่อไปนี้
               ก. สยามสแควร์   สยามดิสคัฟเวอร์รี่เซนเตอร์   สยามพารากอน  และเซนทรัลเวิร์ลเซนเตอร์
               ข. เซนทรัลลาดพร้าว   และเมเจอร์ซินีเพล็กซ์รัชโยธิน
               ค. เซนทรัลปิ่นเกล้า   และเมเจอร์ซินีเพล็กซ์ปิ่นเกล้า
               ง. ดิเอ็มโพเรี่ยม
     ๒.๑๓.เลือกรับประทานมื้อหลัก และอาหารว่างที่...
               ก.โออิชิ   ฟูจิ   หรือร้านอาหารญี่ปุ่นที่อยู่ตามห้างสรรพสินค้า
               ข. พิซซ่าฮัท   หรือพิซซ่าคัมพานี
               ค. เอ็มเคสุกี้
               ง. เคเอฟซี
               จ. แมคโดนัล
               ฉ. เอสแอนพี
               ช. กัลปพฤกษ์
               ซ.คริสปี้ครีม
     ๒.๑๔.เวลาคุยกับคนทั่วๆไป ให้บอกว่า   ตัวเองชอบฟุตบอลมาก   แต่ถ้าคุยกับพวกไฮโซ   ให้บอกว่าตัวเองชอบขี่ม้า   หรือตีกอล์ฟ   หรือดำน้ำมากเลยหล่ะ
     ๒.๑๕.ต้องใช้อินเตอร์เน็ตให้เป็น  และใช้คอมพิวเตอร์ให้พอรู้แค่งูๆปลาๆก็พอ...ไม่ต้องรู้จริง
     ๒.๑๖.ใช้บริการสปอร์ตคลับ หรือฟิตเนส   ไม่ใช้สนามกีฬาธรรมดา
     ๒.๑๗.ใช้แต่ลิฟต์   ไม่เดินขึ้นบันได.
     ๒.๑๘.ข้ามถนนใต้สะพานลอย
     ๒.๑๙.อ่านหนังสือที่มีแต่รูปภาพ   และมีตัวอักษรไม่เกิน ๑๐ เปอร์เซนต์ของพื้นที่หน้ากระดาษทั้งหมด
     ๒.๒๐.เมื่อมีเวลาว่าง  ให้ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู   อย่าอ่านหนังสือ
     ๒.๒๑.สำหรับการเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัด  ให้ไปพัทยา,เกาะเสม็ด,หัวหิน หรือเชียงใหม่ เท่านั้น
     ๒.๒๒.ถ้าคุยกับวัยรุ่น   ให้บอกว่าชอบดื่มสมูตตี้ หรือชาไข่มุก   ถ้าคุยกับผู้ใหญ่   ให้บอกว่าชอบดื่มไวน์
     ๒.๒๓.มีบัตรเครดิตอย่างน้อย ๑ ใบ
     ๒.๒๔.เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของบริษัทขายตรงอย่างน้อย ๑ บริษัท
     ๒.๒๕.สมัครเข้าประกวดนางแบบ นายแบบ หรือนางงาม อย่างน้อย ๑ งาน(เฉพาะผู้ที่รู้ว่าตัวเองหล่อหรือสวย) 
     ๒.๒๖.ถ้าประสบความสำเร็จจากข้อ ๒.๒๕.แล้ว   ให้พยายามออกอัลบั้มเพลงให้ได้อย่างน้อย ๑ อัลบั้ม(ถึงร้องเพลงไม่เก่ง ก็ไม่เป็นไร)
     ๒.๒๗.ขยันไปเดินตามสถานที่สำคัญ เช่น   สยามเซ็นเตอร์   สยามสแควร์   เซนทรัลเวิร์ลเซ็นเตอร์ ฯลฯ   เพื่อให้'แมวมอง'เห็น
     ๒.๒๘.เข้าสู่วงการบันเทิงตามลำดับขั้นตอน   ดังนี้
               ก.นางแบบ หรือนายแบบโฆษณา
               ข.พระเอก หรือนางเอกมิวสิควิดีโอ
               ค.ประกวดนายแบบ หรือนางแบบ หรือนางงาม
               ง.ดารานักแสดง(ละครโทรทัศน์ หรือภาพยนตร์)
               จ.นักร้อง(ที่ร้องเพลงไม่เป็น)
     ๒.๒๙.หัดใช้จ่ายฟุ่มเฟื่อยตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา
     ๒.๓๐.ไม่ว่าจะมีชื่อเสียงโด่งดังเพียงใดก็ตาม   ให้บอกผู้ใหญ่ว่า   การเรียนต้องมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ
     ๒.๓๑.ฝึกร้องเพลงคาราโอเกะให้คล่อง
     ๒.๓๒.รายชื่อหนังสือในดวงใจต้องเป็นหนังสือภาษาอังกฤษเท่านั้น
     หมวดที่๓   ข้อปฏิบัติสำหรับคนวัยทำงาน
     ๓.๑. ทำงานน้อยๆ   เสนอหน้าต่อเจ้านายมากๆ
     ๓.๒. พยายามทำให้คนที่ทำงานเห็นว่า   เราเก่งคอมพิวเตอร์ และภาษาอังกฤษ
     ๓.๓. ถ้ามีเวลาว่าง   ให้หยิบเฉพาะหนังสือภาษาอังกฤษมาอ่านเท่านั้น
     ๓.๔. ในช่วงพักผ่อนในวันหยุดยาวหลายวัน   ให้ไปเที่ยวต่างประเทศ   และเมื่อกลับมาแล้ว   ให้มาเล่าให้คนในที่ทำงานฟังทุกคน   รวมทั้งใส่ภาพลงใน'เฟสบุค'ของตัวเองด้วย
     ๓.๕. พยายามไต่เต้าไปให้ถึงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการให้ได้   เพราะจะมีนิตยสารดังๆมาขอสัมภาษณ์ลงหนังสือ(เขามักจะขอสัมภาษณ์เฉพาะผู้มีตำแหน่งสูงๆ)
     ๓.๖. จัดบ้านตัวเองให้ดูหรูหรา และดูมีรสนิยมวิไล   เพราะวันดีคืนดี อาจจะมีนิตยสารเกี่ยวกับบ้านมาขอถ่ายรูปบ้านไปลงในนิตยสาร และขอสัมภาษณ์เจ้าของบ้านด้วย
     ๓.๗. หัดทำกับข้าวสูตรพิเศษเฉพาะของตัวเอง   และควรเป็นอาหารฝรั่ง   เพราะจะได้ดูเท่เวลาที่มีนิตยสารดังๆมาขอสัมภาษณ์  เพื่อเอาสูตรไปลงในนิตยสาร
     ๓.๘. ไปถ่ายรูปตัวเองที่สตูดิโอที่ทำให้รูปออกมาดูสวยหรือหล่อกว่าตัวจริง
     ๓.๙. ใช้สมุดบันทึก หรือออแกไนเซอร์ราคาแพงๆ
     ๓.๑๐.ต้องพูดได้อย่างน้อย ๒ ภาษา
     ๓.๑๑.ต้องมีคอมพิวเตอร์โน๊ตบุค หรือแทบเบล็ต เป็นของตัวเอง   และใช้มันบ่อยๆ เวลาอยู่ต่อหน้าผู้คนมากๆ
     ๓.๑๒.ใช้ talking dictionary เท่านั้น
     ๓.๑๓.รับประทานอาหารในร้านอาหารหรูๆย่านสุขุมวิท และเพลินจิต   หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารในฟูตเซ็นเตอร์ตามห้างสรรพสินค้า   และเมื่อรับประทานเสร็จแล้ว   ก็ให้ไปนั่งฟังเพลงต่อที่ผับ หรือเต้นรำต่อที่ดิสโกเท็ค   แล้วจบลงด้วยข้าวต้มมื้อดึก
     ๓.๑๔.อยู่คอนโดมีเนียมจะดูเท่กว่าอยู่บ้านเดี่ยว หรือทาวน์เฮาส์
     ๓.๑๕.สะสมเฉพาะข้าวของที่มีราคาแพง   เช่น   อัญมณี   รถยนต์   นาฬิกา   เป็นต้น
     ๓.๑๖.ใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดิน และรถไฟฟ้าบีทีเอส   ไม่ใช้บริการรถโดยสารประจำทาง
     ๓.๑๗.ไปวัดไม่เกินปีละ ๑ ครั้ง
     ๓.๑๘.ไม่ต้องเรียนรู้ หรือสนใจเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณีไทย   มารยาทไทย   และศาสนา
     ๓.๑๙.สนุกสนานกับตลาดเปิดท้ายขายของ   รวมทั้งซุ้ม หรือกระบะสินค้าลดราคาในห้างสรรพสินค้า
     ๓.๒๐.มีวีรบุรุษในดวงใจ คือ บิล เกต หรือ สตีฟ จอบส์
     ๓.๒๑.พยายามทำงานหาเงินให้ได้มากที่สุด โดยไม่ต้องสนใจว่า จะเอาเงินมากมายไปทำอะไรกัน
     ๓.๒๒.นินทาลับหลังให้เคยชิน   หลีกเลี่ยงการพูดวิจารณ์ต่อหน้าบุคคล
     ๓.๒๓.จัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต และหรูหรา
     ๓.๒๔.มีลูกแค่คนเดียว...หรืออย่างมากไม่เกิน ๒ คน
     ๓.๒๕.สามีแอบมีภรรยาน้อย
     ๓.๒๖.ภรรยาแอบมีชู้
     ๓.๒๗.ปฏิบัติตามข้อ ๑.๑.-๑.๑๘. กับลูกหลานของท่าน

     หมวดที่๔ ข้อปฏิบัติสำหรับบุคคลหลังเกษียณอายุ
     ๔.๑. เริ่มรู้สึกว่า   ตัวเองทำแต่เรื่องไร้สาระมาตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา
     ๔.๒. เริ่มรู้สึกว่า   เพื่อนแท้เป็นบุคคลที่หายาก
     ๔.๓. เริ่มรู้สึกว่า   เงินซื้อทุกอย่างไม่ได้
     ๔.๔. เริ่มรู้สึกว่า   "เปลือก" หรือ"ภาพพจน์" เป็นสิ่งไม่จีรังยั่งยืน
     ๔.๕. สอนลูกหลานว่า   อย่าทำตัวแบบตนเองในอดีต
     ๔.๖. สอนลูกหลานว่า   ตายไปแล้ว ก็เอาอะไรไปด้วยไม่ได้

     เมื่อคุณปฏิบัติตามแผนนี้ไปแล้วสักระยะหนึ่ง   คุณอาจจะเริ่มสงสัยว่า   เราคือใคร และมีจุดยืนอยู่ที่ไหนกันแน่?   ทำไมเราถึงต้องทำตามแผนนี้ ทั้งๆที่ไม่ได้ถูกบังคับให้ทำสักหน่อย   เรากลัวอะไรหรือเปล่า?...กลัวความรู้สึกที่ว่าจะไม่ถูกยอมรับในสังคมใช่หรือไม่?   แล้วเราเป็นตัวของเราเองอยู่หรือไม่?   ในที่สุด...ก็จะรู้ว่า   ตัวเราเองได้หายไปจากโลกนี้   และเหลือไว้เพียงแค่ "หุ่นยนต์" ที่ถูกตั้งโปรแกรมให้ใช้ชีวิตอย่างมีรูปแบบชีวิตที่เหมือนกันหมด   ไร้ซึ่งความเป็นเอกลักษณ์ในตัวเอง   ความเป็นมนุษย์ถูกลดลงจนเหลือเพียง"เครื่องจักร"ที่มีโปรแกรมสำเร็จรูปเหมือนกันหมด   ความหลากหลายในโลกนี้ได้เลือนหายไป   คุณชอบแบบนี้หรือไม่?   อย่างไรก็ตาม   มนุษย์ทุกคนสามารถเลือกแนวทางชีวิตให้ตัวเองได้โดยไม่จำเป็นต้องไปดิ้นรนเลียนแบบ หรือทำตามผู้อื่น   ขอเพียงแค่มีความสุข และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ก็ถือว่าน่าจะเพียงพอแล้ว

                                                      ---------------------------------   
    

    

    

  

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สิ่งดีดีในชีวิต๓(ตอนจบ)

     ๑๑.ที่ทำงานมีห้องทำงานที่น่าอยู่
     ๑๒.มีเพื่อนในที่ทำงานเดียวกันหลายๆท่านที่มีจิตใจดีงามและเป็นกัลยาณมิตร
     ๑๓.มีผู้บังคับบัญชาบางท่านที่มีจิตใจกว้างขวางและยังใส่ใจต่อทุกข์สุขของผู้ใต้บังคับบัญชา
     ๑๔.มีรายได้เพียงพอสำหรับเลี้ยงชีวิตตนเอง   และครอบครัว
     ๑๕.มีภรรยาผู้คอยให้กำลังใจ   และมีลูกๆน่ารัก
     ๑๖.มีรองเท้าใส่ไปทำงานทุกวัน
     ๑๗.มีเสื้อผ้ามากกว่า ๒ ชุดสำหรับใส่ไปทำงาน
     ๑๘.สามารถทำธุรกิจส่วนตัว(นอกเวลาราชการ)   และดำเนินกิจการได้อย่างต่อเนื่อง
     ๑๙.สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลของตนเอง   และญาติสายตรงได้
     ๒๐.มีอาหารรับประทานทั้ง ๓ มื้ออย่างไม่อดอยาก
     ๒๑.มีบัตรเครดิต   และบัตรเอทีเอ็มไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน
     ๒๒.มีตู้เอทีเอ็มอยู่ภายในบริเวณที่ทำงาน
     ๒๓.มีโรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์อยู่ห่างจากบ้านแค่ประมาณ ๒๐ กิโลเมตร
     ๒๔.สามารถเล่นกีฬาได้หลายประเภท
     ๒๕.มีสนามกีฬาบางประเภทอยู่ภายในบริเวณที่ทำงาน
     ๒๖.มีสระว่ายน้ำ และสนามกีฬาขนาดใหญ่อยู่ในเขตอำเภอ
     ๒๗.มีสวนสาธารณะขนาดใหญ่อยู่ห่างจากบ้านแค่ ๒ กิโลเมตร
     ๒๘.มีเส้นทางที่ปลอดภัยสำหรับเดิน วิ่ง ขี่จักรยาน อยู่ใกล้บ้าน
     ๒๙.มีตลาด และซุปเปอร์มาเก็ต อยู่ในเขตอำเภอ
     ๓๐.มีห้างสรรพสินค้า และโรงภาพยนตร์ อยู่ในอำเภอใกล้เคียง
     ๓๑.สามารถเล่นเครื่องดนตรีได้หลายชนิด
     ๓๒.มีเทปคาสเส็ต และ ซีดีเพลงมากมาย เอาไว้ฟังเพื่อความเพลิดเพลิน
     ๓๓.มีโทรทัศน์ที่สามารถดูได้ทั้งช่อง ๓,๕,๗,๙,๑๑ และ ไทยพีบีเอส
     ๓๔.มีหนังสือที่ชอบมากมาย เอาไว้อ่านยามว่าง
     ๓๕.มีเครื่องเล่นวีดีทัศน์ และซีดี เป็นของตัวเอง
     ๓๖.มีความสามารถในการถ่ายรูป   และมีกล้องถ่ายรูป พร้อมอุปกรณ์การถ่ายรูปเป็นของตัวเอง
     ๓๗.สามารถใช้คอมพิวเตอร์พอเป็น   และมีคอมพิวเตอร์เป็นของตัวเอง
     ๓๘.มีอินเตอร์เน็ตใช้ในที่ทำงาน
     ๓๙.มีรถยนต์ส่วนตัวไว้ใช้ในการเดินทาง
     ๔๐.ไม่เคยได้รับอุบัติเหตุจากการนั่งรถทัวร์,รถไฟ หรือเครื่องบินเลย
     ๔๑.รอดชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์ส่วนตัวชนหนักได้ถึง ๒ ครั้ง
     ๔๒.มีโอกาสได้ศึกษาหลักธรรมทางศาสนา เพื่อใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ
     ๔๓.สามารถทำประกันชีวิต และประกันรถยนต์   เพื่อรองรับความไม่แน่นอนในชีวิต   และลดความยุ่งยากในชีวิตลงไปได้มาก
     ๔๔.สามารถนั่งสมาธิ   และเดินจงกรมได้   ซึ่งช่วยให้เกิดสติ และสมาธิ
     ๔๕.เขียนบทความ และเรื่องสั้นได้
     ๔๖.มีเพื่อนสนิทที่ยังคบกันได้อย่างสนิทใจมาจนถึงทุกวันนี้
     ๔๗.มีร้านหนังสือ,ร้านดีวีดีและซีดีขนาดใหญ่อยู่ในเขตอำเภอ   และอำเภอใกล้เคียง
     ๔๘.อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีภูมิอากาศดี   ไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป
     ๔๙.อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ได้
     ๕๐.มีที่จอดรถอยู่ในบริเวณบ้านพัก
     ๕๑.ไม่มีหนี้ก้อนใหญ่กับบุคคล หรือองค์กรใดๆ
     ๕๒.ไม่ได้ถูกผู้ใด   หรือกลุ่มบุคคลใดปองร้าย หรือตามฆ่า
     ๕๓.ไม่ได้ติดยาเสพติด   หรือการพนันใดๆ
     ๕๔.บ้านที่พักอาศัยอยู่ ไม่เคยถูกไฟไหม้เลย
     ๕๕.ได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่กรุงเทพฯปีละ ๑ ครั้ง
     ๕๖.มีโอกาสได้รับประทานอาหารในราคาย่อมเยา...ที่โรงอาหารในที่ทำงาน
     ๕๗.ได้ไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ มาแล้วหลายจังหวัด
     ๕๘.ได้ไปเที่ยวต่างประเทศมาแล้วถึง ๒ ประเทศ! คือ ลาว และมาเลเซีย
     ๕๙.เป็นคนนอนหลับง่าย
     ๖๐.สามารถพูด และฟังภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติได้
     ๖๑.มีจินตนาการเหลือล้น
     ๖๒.มีร้านอาหารอร่อยๆหลายแห่งอยู่ในเขตอำเภอ
     ๖๓.มีอาหารทะเลสดๆรับประทาน
     ๖๔.มีพิพิธภัณฑ์อย่างน้อย ๓ แห่งในเขตอำเภอ
     ๖๕.มีสวนสัตว์ ๑ แห่งในเขตอำเภอ
     ๖๖.มีเกาะ ๑ เกาะอยู่ห่างจากบ้านแค่ ๒ กิโลเมตร
     ๖๗.มีชายหาด และทะเลสวยๆอยู่ห่างจากบ้านแค่ ๑๐ กิโลเมตรเศษๆ
     ๖๘.จนถึงขณะนี้   อวัยวะทั้ง ๓๒ ยังใช้การได้เป็นอย่างดี
     ๖๙.แน่ใจว่ามีคนที่รักข้าพเจ้าอย่างแท้จริง
     ๗๐.ไม่มีโรคร้ายที่ทำให้ต้องจบชีวิตลงภายในเวลาก่อน ๑ปี

     ผมมั่นใจว่า   ท่านผู้อ่านส่วนใหญ่มี "สิ่งดีดีในชีวิต" ไม่น้อยไปกว่าผมเลย   เพียงแต่ว่า   รายละเอียดในแต่ละข้อของแต่ละคนนั้นอาจแตกต่างกันไป   และขอยืนยันว่า   นี่ไม่ใช่การหลอกตัวเองนะครับ   เพราะว่า แต่ละข้อที่ผมเขียนลงไปแล้วนั้นก็ล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น   เพียงแต่ว่า   ในบางเวลา   ท่านอาจหลงลืม "สิ่งดีดี" เหล่านี้ไปบ้าง   ก็ไม่เป็นไรครับ   วิธีที่ผมแนะนำนี้จะช่วยให้ท่านเริ่มจดจำ "สิ่งดีดี" เหล่านี้ได้ดีขึ้นครับ
     ผมเชื่อว่า   ในขณะนี้   หลายๆท่านคงเริ่มรู้สึกดีขึ้นแล้งใช่ไหมครับ   เห็นไหมครับ   วิธีง่ายๆ   แต่ได้ผลค่อนข้างมาก   ผมขอให้ท่านมีความสุขกับ "สิ่งดีดีในชีวิต" ต่อไป   และอย่าลืมหยิบมันขึ้นมาอ่านบ่อยๆนะครับ

                                                  -----------------------------------------


    

วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สิ่งดีดีในชีวิต๒

     ๑. รอดชีวิตตอนคลอด(ทั้งมารดาและข้าพเจ้า)
     ๒.เกิดมามีอวัยวะครบ๓๒
     ๓.ขณะนี้ไม่มีโรคประจำตัวที่จะทำให้ตายก่อนเวลาอันควร
     ๔.ครอบครัวไม่ยากจนถึงขั้นอดมื้อกินมื้อ
     ๕.ได้เข้าเรียนในโรงเรียนตามหลักสูตรการศึกษาภาคบังคับอย่างครบถ้วน   นอกจากนั้น   ยังได้เรียน
         ต่อจนจบปริญญาตรีด้วย
     ๖.หลังศึกษาจบแล้วก็ได้งานในสถานที่ราชการทำในทันที(พูดง่ายๆก็คือ   ไม่ตกงาน)
     ๗.ได้ทำงานตรงกับสาขาที่เล่าเรียนมาเสียด้วย
     ๘.ที่ทำงานอยู่ห่างจากที่พักไม่ถึง ๕๐๐ เมตร   เดินไปทำงานได้สบายมาก
     ๙.มีที่พักอาศัยอยุ่ภายในบริเวณที่ทำงาน   และมีน้ำไฟฟ้าพร้อม
     ๑๐.ได้ประกอบอาชีพที่(หลายๆคนว่า)มีเกียรติ   และมั่นคง


วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สิ่งดีดีในชีวิต

     ในบางครั้ง   ความรู้สึกท้อแท้   เหนื่อยหน่ายในชีวิตย่อมเกิดขึ้นบ้าง   ไม่มากก็น้อย   จากสิ่งที่มากระทบกระทั่งต่างๆ  ผมขอเสนอวิธีที่น่าสนใจ   ซึ่งว่าด้วยการมองโลกในแง่ดี   ที่สามารถนำไปใช้ได้จริง   และสะดวก   ไม่ต้องใช้อุปกรณ์มากมาย  ใช้แค่เพียงกระดาษกับปากกา   หรือดินสอเท่านั้น   ผมขอเชิญทุกท่านมาร่วมปฏิบัติการไปพร้อมกับผมได้เลยครับ
     วิธีปฏิบัติก็แสนง่ายดายครับ   เริ่มต้นด้วยการเขียนหัวข้อ"สิ่งดีดีในชีวิต"   เริ่มต้นด้วยข้อ๑.   ไปจนถึงข้อ...?   ซึ่งผมก็ตอบไม่ได้หรอกครับ   ว่าจะเขียนได้กี่ข้อ   แต่ขอรับรองว่า   เมื่อท่านเขียนไปได้สักพักหนึ่ง   และได้จำนวนข้อมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว   ความรู้สึกของท่านจะค่อยๆเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น   ท่านจะรู้สึกแปลกใจว่า   ทำไมฉันถึงเขียนได้มากมายขนาดนี้   ถ้าท่านไม่เชื่อ   ก็ขอให้ลองเขียนดูก่อน   เรามาเริ่มต้นเขียนพร้อมกันเดี๋ยวนี้เลยนะครับ