ผมได้เคยพูดคุยกับเพื่อนๆที่เป็นหมอ และเคยเรียนชั้นมัธยมศึกษาด้วยกันหลายครั้ง แทบจะทุกครั้งมักจะมีหัวข้อที่หยิบยกขึ้นมาคุยกันบ่อยที่สุด คือ "กว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว" ซึ่งหมายถึงในกรณีที่หมอหลายคนเพิ่งมาได้ตระหนักรู้ทีหลังว่า จริงๆแล้ว พวกเขาไม่ได้ชอบวิชาชีพแพทย์ที่ทำอยู่ แต่ที่ได้มาเรียนแพทย์เพราะเหตุผลบางประการ เช่น มีเกียรติ มั่นคง รวย(?) พ่อแม่อยากให้เป็นหมอ เป็นต้น แต่พวกเขาไม่ได้เข้าใจว่า ไม่ใช่แค่เรียนดีแล้วจะเป็นหมอที่ดีได้ "ว่าที่คุณหมอ"ต้องมีคุณสมบัติอย่างอื่นอีกมากมาย เช่น ความซื่อสัตย์ ความอดทน ความเมตตากรุณา เป็นต้น
เพื่อเป็นการลดปริมาณพวก "กว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว" ผมจึงขอเสนอแบบทดสอบเพื่อประเมินความพร้อมของน้องๆที่มีความตั้งใจจะประกอบอาชีพแพทย์ต่อไปในอนาคต ก่อนการประเมิน ผมขออนุญาตกำหนดนิยามดังนี้
๑. งานA คือ แบบทดสอบการบวก ลบ คูณ หารเลขโดยมีข้อกำหนดดังนี้
๑.๑. ถ้าเป็นการบวกลบเลข ต้องให้ตัวเลขทั้ง ๒ จำนวนมีอย่างน้อย ๔ หลักขึ้นไป เช่น 7,659+8,644=?
๑.๒. ถ้าเป็นการคูณหารเลข ต้องให้ตัวตั้งมีอย่างน้อย ๔ หลักขึ้นไป และตัวคูณหรือตัวหารมีอย่างน้อย ๒ หลักขึ้นไป เช่น 695,725x674=?
๑.๓. ตัวเลขทั้ง ๒ จำนวนในโจทย์จะต้องไม่เกิน ๗ หลัก
๑.๔. ห้ามใช้เครื่องคิดเลข หรือลูกคิด ห้ามใช้สารกระตุ้น เช่น กาแฟ เป็นต้น
๒. คำว่า "ผ่านการทดสอบ" หรือ "ไม่ผ่านการทดสอบ" นั้น ให้ขึ้นอยู่กับ "ความรู้สึกของผู้รับการทดสอบ" กล่าวคือ
๒.๑. "ผ่านการทดสอบ" หมายถึง ผู้รับการทดสอบยืนยันว่า สามารถทำกิจกรรมในแบบทดสอบข้อนั้นๆไปตลอดชีวิตได้อย่างมีความสุข
๒.๒. "ไม่ผ่านการทดสอบ" หมายถึง ผู้รับการทดสอบไม่สามารถทำกิจกรรมในแบบทดสอบข้อนั้นๆไปตลอดชีวิตได้อย่างมีความสุข
๒.๓. ถ้าแบบทดสอบกำหนดให้ทำงานAด้วยแล้ว การผ่านหรือไม่ผ่านการทดสอบจะขึ้นอยู่กับผลของงานAด้วย
๒.๔. การผ่าน หรือไม่ผ่านในบางแบบทดสอบจะขึ้นกับเงื่อนไขพิเศษที่กำหนดขึ้นมาเพิ่มเติมเฉพาะในแบบทดสอบข้อนั้นๆ
๓.ผู้รับการทดสอบต้องผ่านการทดสอบอย่างน้อย ๑๐ จาก ๑๑ แบบทดสอบ จึงจะสามารถประกอบอาชีพแพทย์ได้อย่างมีความสุขอย่างแท้จริง
ณ บัดนี้ ขอเชิญท่านผู้สนใจเริ่มทำแบบทดสอบได้เลยครับ...
๑.แบบทดสอบที่๑ ไม่นอนหลับติดต่อกัน ๓๖ ชั่วโมง โดยห้ามใช้สารกระตุ้น(เช่น กาแฟ) ห้ามฟังเพลง ดูโทรทัศน์ เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ หรือเข้าอินเตอร์เน็ต
เปรียบเทียบกับสถานการณ์จริง คุณหมอต้องอยู่เวรติดต่อกัน ๒ คืน กับอีก ๑ วัน ตอนกลางวัน คุณหมอตรวจผู้ป่วยนอกคนเดียวทั้งวันที่โรงพยาบาล เวลากลางคืนต้องถูกตามตัวมาดูผู้ป่วยตลอดทั้งคืน และอาจไม่ได้นอนเลย พอรุ่งเช้า คุณหมอก็ต้องมาตรวจผู้ป่วยนอกทั้งวันอีก
๒.แบบทดสอบที่๒ ให้ผู้รับการทดสอบเข้านอนในเวลา ๒๔.๐๐น. จากนั้นให้เจ้าหน้าที่ผู้คุมสอบปลุกให้ตื่นทุก ๑ ชั่วโมงทางโทรศัพท์ จนถึงเวลา ๖.๐๐น. หลังจากนั้นให้ผู้รับการทดสอบทำงานA ทั้งหมด ๒๔๐ ข้อ(ห้ามใช้เครื่องคิดเลข หรือลูกคิด ห้ามใช้สารกระตุ้น) ตั้งแต่เวลา ๘.๐๐น.ถึง ๑๒.๐๐น.(เฉลี่ยใช้เวลาข้อละ ๑ นาที) ผู้รับการทดสอบต้องได้คะแนนอย่างน้อย๙๐เปอร์เซ็นต์จึงจะถือว่าผ่านแบบทดสอบนี้
เปรียบเทียบกับสถานการณ์จริง คุณหมอต้องอยู่เวรกลางคืน และถูกตามตัวไปดูผู้ป่วยทุกๆ ๑ ชั่วโมง(ยังมีโอกาสได้งีบบ้างเล็กน้อย) แล้วต้องมาทำงานต่อในช่วงกลางวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
๓.แบบทดสอบที่๓ กำหนดให้ผู้รับการทดสอบรับประทานอาหารวันละ ๒ มื้อ มื้อแรกในเวลา ๖.๐๐น. และมื้อที่๒ในเวลา ๒๔.๐๐น. และทำงานAทั้งหมด ๓ ครั้ง คือในเวลา ๙.๐๐น. ๑๓.๐๐น. และ๒๑.๐๐น. โดยทำครั้งละ ๑๒๐ ข้อให้เสร็จภายในเวลา ๒ ชั่วโมง ทำเช่นนี้ติดต่อกัน๗วัน ผู้รับการทดสอบจะต้องได้คะแนนอย่างน้อย ๙๐ เปอร์เซ็นต์ จึงจะถือว่า ผ่านแบบทดสอบนี้
เปรียบเทียบกับสถานการณ์จริง คุณหมอมีงานยุ่งตั้งแต่เช้า ทั้งงานตรวจผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยฉุกเฉิน ห้องผ่าตัด ผู้ป่วยในตึกผู้ป่วยใน จนไม่มีเวลารับประทานอาหาร
๔. แบบทดสอบที่๔ ให้ผู้รับการทดสอบรับประทานอาหารไป ๑ใน๔ของจาน แล้วหยุดรับประทานนาน ๓๐ นาที จากนั้น ให้กลับมารับประทานต่ออีก ๑ใน๔ของจาน แล้วหยุดรับประทานนาน ๓๐ นาที ...ทำเช่นนี้เรื่อยไปจนอาหารหมดจาน และให้ทำแบบนี้ทั้ง ๓ มื้อต่อวัน โดยทำติดต่อกัน ๗ วัน(ห้ามอุ่นอาหารก่อนรับประทานในแต่ละครั้ง)
เปรียบเทียบกับสถานการณ์จริง คุณหมอถูกตามตัวไปดูผู้ป่วยฉุกเฉินทั้งๆที่ยังรับประทานอาหารไม่เสร็จติดต่อกันหลายๆครั้ง
๕. แบบทดสอบที่๕ ให้ผู้รับการทดสอบรับประทานอาหารชนิดเดียวกัน(เช่น ข้าวไข่เจียว เป็นต้น)ทั้ง ๓ มื้อ ติดต่อกันเป็นเวลา ๗ วัน(อาหารที่รับประทานจะต้องไม่ใช่อาหารที่เป็น"ของโปรด"สำหรับผู้รับการทดสอบอยู่แล้ว๋)
เปรียบเทียบกับสถานการณ์จริง เมื่อคุณหมอไปปฏิบัติงาน และใช้ชีวิตอยู่ที่โรงพยาบาลชุมชนในเขตพื้นที่ทุรกันดาร คุณหมอไม่มีโอกาสเลือกรับประทานอาหารได้ตามที่ตนเองอยากรับประทาน
๖. แบบทดสอบที่๖ จำกัดบริเวณผู้รับการทดสอบให้อยู่ในพื้นที่ ๑๐๐ ตารางวา พร้อมบ้าน ๑ หลังให้อาศัยอยู่เพียงคนเดียวเป็นระยะเวลา ๑ เดือน(ห้ามโทรศัพท์ ห้ามใช้อินเตอร์เน็ต ห้ามรับส่งอีเมล หรือแฟกซ์ อนุญาตให้ดูโทรทัศน์ ฟังวิทยุ อ่านหนังสือ และเขียนจดหมายได้)
เปรียบเทียบกับสถานการณ์จริง เมื่อคุณหมอไปปฏิบัติงาน และใช้ชีวิตอยู่ที่โรงพยาบาลชุมชนในเขตพื้นที่ทุรกันดาร ก็จะไม่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารกับญาติ คนรัก และเพื่อนๆที่อยู่ห่างไกล
๗.แบบทดสอบที่๗ กำหนดให้ผู้รับการทดสอบยืนสงบนิ่งตรงบริเวณที่กรรมการผู้ควบคุมการทดสอบกำหนดให้ หลังจากนั้นผู้ควบคุมการทดสอบจะพา"แม่ค้าปากตลาด" จำนวน ๓ คนมายืนด่าว่าผู้รับการทดสอบด้วยถ้อยคำที่หยาบคายเป็นเวลาทั้งหมด ๙๐ นาที(ด่ากันคนละ ๓๐ นาที) ทำเช่นนี้ติดต่อกัน ๗ วัน ระหว่างที่ทำการทดสอบนั้น ผู้รับการทดสอบต้อง"ทำหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส"โดยตลอด ห้ามพูด ห้ามเถียง ห้ามเดินหนีออกไปจากบริเวณที่กรรมการกำหนด
เปรียบเทียบกับสถานการณ์จริง คุณหมออาจจะต้องเจอกับผู้ป่วย หรือญาติของผู้ป่วยบางคนที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ในสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความตึงเครียด หรือจนถึงขั้นโมโหโทโสได้ง่าย และรุนแรง เช่น ในวันที่มีผู้ป่วยนอกมาใช้บริการมากมายจนล้นหลาม เป็นต้น
แบบทดสอบที่๘ ให้ผู้รับการทดสอบเข้าไปอาบน้ำ และสระผมในห้องอาบน้ำที่กรรมควบคุมการทดสอบกำหนดให้ จากนั้น ผู้รับการทดสอบจะได้ยิงเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นที่ห้องที่อยู่ใกล้ๆห้องอาบน้ำ และ ณ วินาทีนั้น กรรมการจะเริ่มจับเวลา ให้ผู้รับการทดสอบรีบรับโทรศัพท์ เช็ดตัวให้แห้ง แต่งตัวให้เรียบร้อย แล้ววิ่งไปยังจุด"ฉ"(ย่อมาจาก"ฉุกเฉิน")ซึ่งอยู่ห่างจากห้องอาบน้ำเป็นระยะทาง ๕๐๐ เมตร ถ้าผู้รับการทดสอบสามารถวิ่งไปที่จุด"ฉ"ได้ทันภายในเวลา ๓ นาที(ในสภาพที่แต่งตัวเรียบร้อยด้วยนะ) ถือว่า"ผ่านการทดสอบนี้"
เปรียบเทียบกับสถานการณ์จริง คุณหมออยู่เวรนอกเวลาราชการ และกำลังอาบน้ำอยู่ในบ้านพักแพทย์ หรือห้องพักแพทย์เวร ทันใดนั้น ก็มีโทรศัพท์จากตึกผู้ป่วยใน หรือห้องฉุกเฉินตามให้คุณหมอไปดูผู้ป่วยฉุกเฉินที่อาการหนักมากๆๆๆๆๆๆ(แย่ที่สุดคือหยุดหายใจ หรือหัวใจหยุดเต้น) ซึ่งคุณหมอต้องรีบไปรักษาผู้ป่วยรายนั้นโดยเร็วที่สุด
แบบทดสอบที่๙ ให้ผู้รับการทดสอบนั่งรับประทานอาหารในห้องอาหารที่กรรมการผู้ควบคุมการทดสอบกำหนดไว้ โดยนั่งใกล้ศพสุนัขที่กำลังเน่าเหม็นทั้ง ๓มื้อ เป็นเวลา ๗ วันติดต่อกัน
เปรียบเทียบกับสถานการณ์จริง แพทย์เป็นอาชีพที่ต้องอยู่ใกล้ๆและได้สัมผัสกับสิ่งที่ไม่น่าภิรมย์ เช่น สิ่งปฏิกูลส่งกลิ่นเหม็น ไม่ว่าจะเป็นอุจจาระ ปัสสาวะ เลือด เสมหะ หนอง รวมถึงซากศพมนุษย์ที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่าซึ่งคุณหมอจะต้องชัณสูตรเพื่อหาสาเหตุการตาย คุณหมอคงต้องใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งเหล่านี้ให้ได้
แบบทดสอบที่๑๐ ให้ผู้รับการทดสอบยืนติดต่อกันนาน ๔ ชั่วโมง ทั้งหมด ๓ ครั้ง/วัน คือ ในช่วงเวลา ๘.๐๐น.ถึง๑๒.๐๐น. ๑๓.๐๐น.ถึง๑๗.๐๐น. และ ๒๒.๐๐น.ถึง๒.๐๐น. ทำเช่นนี้ติดต่อกัน๗วัน ห้ามเดิน อนุญาตให้เข้าห้องน้ำได้ช่วงเวลาละ ๑ ครั้งเท่านั้น
เปรียบเทียบกับสถานการณ์จริง คุณหมอต้องยืนผ่าตัดผู้ป่วยติดต่อกันหลายชั่วโมงต่อวัน ทั้งในช่วงกลางวัน และกลางคืน
แบบทดสอบที่๑๑ ให้ผู้รับการทดสอบนำรายได้ของตนเองที่ได้รับในเดือนนั้นมาบริจาคให้วัด โรงเรียน หรือองค์กรการกุศลที่ไม่แสวงหาผลกำไร ในสัดส่วน ๙๐เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมดในเดือนนั้น รายได้ที่เหลือ ๑๐เปอร์เซ็น ให้นำไปใช้จ่ายส่วนตัวได้ให้เพียงพอในเดือนนั้น
เปรียบเทียบกันสถานการณ์จริง ถ้าคุณหมอได้รักษาผู้ป่วยผิดพลาดจนถึงกับทำให้ผู้ป่วยพิการ หรือเสียชีวิตแล้ว คุณหมอมีโอกาสโดนผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วยดำเนินการฟ้องร้องทางกฎหมายเพื่อเรียงร้องค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินมหาศาลได้ และ ถ้าเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นมาแล้วละก็... คุณหมอก็อาจหมดเนื้อหมดตัวได้เหมือนกัน
หลังจากผู้รับการทดสอบได้ทำแบบทดสอบจนครบทั้ง ๑๑ แบบทดสอบแล้ว ให้กลับไปอ่านกฎเกณฑ์ที่ว่าด้วยการ"ผ่านการทดสอบ"และ"ไม่ผ่านการทดสอบ"อีกครั้ง แล้วตัดสินใจอย่างรอบคอบอีกครั้งนะครับ ว่าจริงๆแล้ว ท่านอยากจะประกอบอาชีพเป็นแพทย์หรือไม่?